-- * Story of My Life * --
PouNdPoN (●>ω<●)

Friday, July 31, 2009

From Juggling to Sweat and Ache


วันนี้ก็ไปเรียนคาบ innovative thinking ตามปกติ
เพียงแต่ย้ายห้องเรียนไปห้องที่ใหญ่กว่า พื้นที่กว้างกว่า

และเป็นที่รู้กันของทุกคนว่า วันนี้จะเป็นวันที่ได้เรียนการโยน juggling

พอเดินเข้าไปในห้อง (อาจารย์ยังไม่มา) ก็ต้องตกใจ เพราะทำไมทุกคนฟิตอย่างนี้
เกือบทุกคนที่อยู่ในห้องเอา juggling ของตัวเองมาโยนฝึก บางคนก็โยนได้แล้ว

แต่ที่อึ้งกว่าคือ วันนี้ทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วย และก็มีกล้องมากมายมาถ่ายด้วย

และในที่สุด อาจารย์ก็มาถึงในห้อง และก็บอกว่าวันนี้มี surprise
คือ มีการถ่ายวีดีโอและรูปถ่ายจาก TCDC เพื่อนำไปเผยแพร่ในโครงการหนึ่งของ TCDC

และแล้ว class ก็เริ่มขึ้น


เริ่มจากการโยนลูกเดียวก่อน โดยจินตนาการว่ามีกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ข้างหน้า
และต้องโยนไปมุมบนของอีกด้าน หรือพูดง่ายๆคือ โยนเป็นเส้นทแยงมุม

เมื่อโยนจนได้แล้ว ต่อมาก็จะเป็นการโยน 2 ลูก
อันนี้ก็เริ่มที่จะยากขึ้น
การโยน 2 ลูกจะเริ่มจาก ฝั่งA โยน และประมาณว่าเมื่อลูกอยู่ที่จุดสูงสุดของการโยน ให้โยนอีกลูกจากฝั่ง B
และให้รับลูกที่ฝั่ง B (ลูกที่ฝั่ง A โยนมา) ก่อน แล้วจึงรับลูกที่ฝั่ง A (ลูกที่ฝั่ง B โยนมา)
หรือจะกำหนดจังหวะการโยนด้วยการพูด 1 2 1 2 ซึ่งการนับเลขนี้ work มาก ลองทำดู

แล้ว step ต่อมาก็คือ การโยน 3 ลูก อันนี้ยากอยู่ แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆก็ได้แน่นอน
การโยน 3 ลูกจะเหมือนกับการโยน 2 ลูก แต่จังหวะจะเร็วขึ้น



ทั้งหมดที่พูดมาฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไร (หรอ?)
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้คาบเรียนนี้ก็คือ

"เหงื่อท่วม"

ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีเหงื่อเยอะ จริงๆในห้องก็เปิดแอร์เย็น
แต่ที่เหงื่อท่วมนี่ก็เป็นเพราะการเก็บลูกที่หล่น และยิ่งเพิ่งฝึก
เมื่อพูดถึงการฝึก ก็ต้องพูดถึงการผิดพลาด
และถ้าพูดถึงการผิดพลาดของการเล่น juggling ก็คือ ลูกตกลงพื้น
และสิ่งที่ตามมา ก่อนจะเล่น juggling ครั้งต่อไปก็คือ เราต้องไปเก็บลูกขึ้นมา
ต้องย่อตัวหรือก้มไปเก็บลูกขึ้นมา

ก็คิดดูสภาพแล้วกัน เหนื่อยมาก
จริงๆแล้ว ตอนเก็บลูกในคาบเรียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก
อาจจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อยังไม่แสดงอาการ
แต่ พอวันรุ่งขึ้น (วันเสาร์) โอ๊ย ไม่อยากจะพูด ปวดขาสุดๆ
อย่างกับไปลุกนั่งมาประมาณ 50-100 รอบ อย่างนั้นเลย

คาบเรียนนี้นอกจากจะเรียนการโยน juggling แล้ว
อาจารย์ก็ได้สอนต่อจากชั่วโมงก่อนหน้า
ต่อจาก innovative thinking ครั้งก่อน

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้คำตรงข้าม เพื่อทำให้เกิด idea
เช่น การคิดว่าทำอย่างไรจะให้บริษัทหนึ่งรับเราเข้าทำงาน
ก็คิดในแบบตรงข้าม ก็คือให้คิดว่า
ถ้าเราทำตัวแบบใด แล้วบริษัทนั้นจะไม่รับเข้าทำงานแน่ๆ
เราก็ห้ามทำแบบนั้นโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้คำว่า what if ...
เพื่อให้เกิด idea และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
นั่นคือ ให้คิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า ... เช่น

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า Doraemon มีจริง และมีบ้านละ 1 ตัว
ประมาณว่า พอสร้างบ้านมีประปา มีไฟฟ้า พร้อม Doraemon 1 ตัว

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าในโลกมีแต่ 2 มิติ
ประมาณแบบ เกมmario อะไรอย่างนั้น ที่ทุกคนเดินได้แค่ระนาบเดียว

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกคนหน้าตาเหมือนกัน
คงตลกน่าดู ทุกคนหน้าเหมือนกันหมด

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจริงๆแล้วโลกที่เราอยู่เป็นเพียงโลกที่สร้างขึ้น
ในห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์มนุษย์ต่างดาว
ซึ่งมนุษย์ต่างดาวกำลังศึกษาความเป็นไปของเราอยู่
อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง คงอึ้งน่าดู

และสุดท้าย จะเกิดอะไรขึ้น ถ้างานเลี้ยงไม่มีวันเลิกรา

นอกจากนี้ก็ยังให้คิดเรื่องที่จะทำให้บริษัทหนึ่งๆล้มลง เจ๊งนั่นเอง
และได้ทำเรื่องของ UBC
สิ่งที่จะทำให้ UBC เจ๊งก็คือ

คนเบื่อ AF และโฆษณา AF ต่างๆ เช่น เพลง บลาๆๆ
ของที่มีฉายมีให้โหลดทั้งหมด
internet เร็วมา มีการถ่ายทอดสดให้ดูทาง internet เป็นแบบ full HD ด้วย
คนไม่ต้องการดู TV แล้ว
มีบริษัทขายเครื่อง Tune สัญญาณถูกกว่า (อ่ะนะ)
กทช.ออกกฎหมายให้เปิด free tv หลายๆช่อง มีรายการน่าสนใจมากมาย
มีบริษัทคู่แข่งที่ดีกว่า

มีพายุหมุน ดูดจาน UBC ไป
สุดท้าย
ทุกคนมีแต่ความรัก ความรักทำให้ตาบอด ก็เลยไม่ต้องดู TV แล้ว

ต่อจากการเรียนก็เหลือเวลานิดหน่อย TCDC ก็โฆษณาโครงการของเขา
VTR งดงามมากค่ะ
แล้วแนวคิดก็ดีมากๆ ถ้าใครว่างก็ไปดูกิจกรรมของเขากันได้ที่ Emporium

หลังจากการโฆษณา ก็ฝึก juggling ต่อ
เฮ้อ ! เหนื่อยเก็บลูกจริงๆ (อ่ะนะ)

๛ PouNdPoN (●>ω<●) ๛

Monday, July 27, 2009

Creative Movies กับ Dead Poets Society

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ก็ไปเข้าเรียนวิชา innovative thinking ตามปกติ

แต่คาบเรียนนี้มาแปลก ให้ดูหนัง เรื่องนึงชื่อเรื่องว่า

"Dead Poets Society"

เป็นหนังที่สร้างขึ้นในปี 1989 นานมาก ปีนี้ก็ครบ 20 ปีพอดี

ที่แสดงนำโดย Robin Williams, Robert Sean Leonard และ Ethan Hawke

หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัล Oscar ในปี 1990 ด้วย
จากสาขา Best Writing, Screenplay Written Directly for the Screen : Tom Schulman

และยังได้เข้าชิงอีก 3 สาขาด้วย
Best Actor in a Leading Role : Robin Williams
Best Director : Peter Weir
Best Picture : Steven Haft , Paul Junger Witt , Tony Thomas

ก็มาพูดถึงเนื้อเรื่องกันบ้าง ถ้าใครยังไม่ได้ดูและอยากจะดู ก็อย่าอ่านก็แล้วกัน มัน spoil


เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ เด็กนักเรียน 7 คน ในโรงเรียนเตรียมอุดมชายล้วน ชื่อว่า Welton
ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์สอนภาษาอังกฤษใหม่ ที่ชื่อว่า Mr.John Keating(นำแสดงโดย Robin Williams)
ซึ่งมีรูปแบบการสอนที่แปลกแหวกแนว ไม่เหมือนรูปแบบการสอนของอาจารย์ในโรงเรียนนั้น
โดยเขาจะเน้นการมีส่วนร่วมและความรู้สึกของนักเรียนเป็นหลัก เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์
และรักในสิ่งที่เรียน
วิธีการสอนของ Keating แหวกแนว ถึงขั้นสั่งให้นักเรียนฉีกหนังสือทิ้ง
เพราะเห็นว่า บทเรียนในหนังสือ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเอามาเป็นบทเรียน

อีกทั้งยังให้เรียกเขาว่า "O Captain! My Captain!"

นอกจากนี้ก็ยังให้ยืนบนโต๊ะ เพื่อเป็นการบอกว่า ให้มองในมุมมองที่แตกต่าง


ซึ่งบทเรียนแรกของเขาเป็นเรื่องบทกลอนที่พูดถึง
การดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ ก่อนที่คนเราจะตายไป
หรือสรุปออกมาเป็นคำสั้นๆ ที่ Keating พูดก็คือ

"carpe diem"
(Latin for 'seize the day')


พวกนักเรียนในห้องก็รู้สึกประหลาดใจกับรูปแบบการสอนแล้ว
แต่ก็มีกลุ่มนักเรียน 7 คนที่โดดเด่นในเรื่อง ได้ไปขุดคุ้ยเรื่องของอาจารย์ เพราะอาจารย์เป็นศิษย์เก่ามาก่อน
และได้รู้เรื่องของ Dead Poets Society (ซึ่งเป็นชื่อของหนังเรื่องนี้นั่นเอง)
ซึ่งเป็นชมรมที่ตั้งขึ้น เพื่อร่วมกันอ่านกลอนที่ถูกประพันธ์ขึ้นไม่ว่าจะโดยใครก็ตาม รวมทั้งตัวนักเรียนกันเอง
โดย Mr.Keating ตอนเป็นนักเรียน เป็นประธานชมรมนี้

นักเรียนทั้ง 7 คนนี้ก็ได้รวมตัวกัน เพื่อรื้อฟื้นชมรมนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่ทุกเรื่องก็ไม่ได้ดำเนินไปด้วยดีตลอด
เพราะแต่ละโรงเรียนก็มีกฎของมันอยู่
นักเรียนคนนึงในกลุ่มนั้น ชื่อว่า Charlie ได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับความคิดเห็นของเขา
ว่า อยากให้มีนักเรียนหญิงบ้างในโรงเรียน

เมื่อทางโรงเรียนทราบเรื่องก็หาตัวผู้กระทำความผิด และCharlie ก็ยอมรับว่า เขาได้กระทำเพียงคนเดียว

นอกจากนี้ เมื่อได้รับความกล้าหาญในการดำเนินชีวิตจาก Keating แล้ว
Neil นักเรียนคนนึงในกลุ่มนั้น ก็พยายามที่จะแสดงละครเรื่อง A Midsummer Night's Dream โดย Shakespeare
ซึ่งเมื่อไป cast ก็ปรากฏว่า เขาได้แสดง แต่เขายังไม่ได้บอกพ่อและแม่ของเขา ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่อนุญาตให้เขาแสดงแน่นอน

เขาต้องทะเลาะกับพ่อ ซึ่งอยากให้เขาเรียนหมอ และบอกให้เลิกแสดง
แต่เขาก็ยังไปแสดงละคร
เมื่อพ่อของเขารู้เรื่อง ก็ดำเนินการให้ Neil ออกจากโรงเรียนและเตรียมตัว เพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ดีๆ
แต่เมื่อกลับถึงบ้านไม่นาน คืนนั้น Neil ก็ได้ยิงตัวตาย

ทางพ่อและแม่ของ Neil ก็ร้องขอให้ทางโรงเรียนสืบสวนสาเหตุการตายของ Neil
และก็ได้โยนความผิดนี้ให้แก่ อาจารย์ John Keating

ซึ่งนักเรียนก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นชื่อว่า Keating เป็นผู้รับผิดชอบกับการตายของ Neil

และในตอนท้ายเรื่อง Keating ก็ได้เข้าไปในห้องเรียนเพื่อเก็บของ
และเมื่อจะออกไป เขาก็ได้ยิน "O Captain! My Captain!"
และนักเรียนก็เริ่มที่จะยืนบนโต๊ะ จนเกือบทุกคนในห้อง ซึ่งเขาได้เคยสอนไว้ในคาบเรียน


และหลังจากที่ดูหนังจบแล้ว ก็มีคำถามให้ตอบ 5 ข้อ
ซึ่งก็เกี่ยวกับเรื่องข้อคิด แนวคิดเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้มีเยอะมาก
แต่ที่หลักๆ เห็นได้ชัด ก็คือ

การมองในมุมมองที่แตกต่าง การทำอะไรที่แตกต่าง และรู้จักกาละเทศะ

ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า และใช้สติปัญญาในการใช้ชีวิตด้วย

"Carpe diem" (Seize the day)

แล้วคุณล่ะ ตอนนี้คุณใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มได้แล้ว Carpe diem!




เขียนเรื่องนี้ ช้าไปหน่อย จริงๆก็ไม่หน่อย แต่แอบลืมเล็กๆ

Thursday, July 23, 2009

Asia Song Festival 2009

งาน Asia Song Festival เป็นงานที่จัดขึ้นในประเทศเกาหลี
จัดทุกปี มาตั้งแต่ปี 2004
เป็นงานที่สานความสัมพันธ์ของ asia แต่จริงๆแล้วก็มีอยู่ไม่กี่ประเทศนะ
ตอนปี 2004 ก็มีน้อยอยู่ มีเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม ไทย
ปีต่อๆมา ก็เพิ่มขึ้นบ้างทีละประเทศ
จนปีล่าสุด 2008 ก็มีนักร้องไปร่วมดังนี้ (จัด 2 วัน)


October 3rd:
SHINee, 2AM, U-KISS (Korea),
Berryz Kobo (Japan),
Yoga Lin (Taiwan), Jocie Guo Mei Mei (Singapore),
BX (Mongolia),
PECK (Thailand),
and Rynn Lim (Malaysia).

October 4th: TVXQ / DBSK, Girls’ Generation, Seung-Hun Shin, SS501 (Korea),
W-inds, Anna Tsuchiya (Japan),
Anson Hu (China), Fahrenheit (Taiwan), Karen Mok (Hong Kong),
ICE (Thailand),
Ho Quynh Huong (Vietnam),
Rivermaya (Philippines), and Agnes Monica (Indonesia).



จากประเทศไทยก็มี ไอซ์ ศรัณยู กับเป๊ก ผลิตโชค
สองคนนี้ก็รู้ๆกันดีอยู่แล้วว่า เสียงก็โอเคเลยทีเดียว

แล้วจริงๆแล้วทุกปี ประเทศไทยก็ทำไว้ดีพอควร


ปี 2004 ปาล์มมี่

ปี 2005 ล้านนา

ปี 2006 แคทรียา อิงลิช

ปี 2007 กอล์ฟ-ไมค์



แล้วที่อยากจะบอกก็คือ ปีนี้หนะ
ประเทศไทยได้ตัดสินนักร้องที่จะได้ไป Asia Song Festival 2009 แล้ว
ก็คือ

"KOTIC"

เอ่อ ก็อ่ะนะ
เราก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงเลือก วงนี้
แต่ เราก็คิดว่า มันน่าจะเป็นนักร้องที่แบบไปแล้วสื่อถึงไทย
คือมันเป็นงานที่แต่ละประเทศมาร้องเพลง และสานสัมพันธ์กัน

แล้ว KOTIC อ่ะ เป็นวงที่เกิดขึ้น เพราะเลียนแบบจากเกาหลีไม่ใช่หรอ
เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าคนเลือกคิดอะไรอยู่่

ถ้าจะถามว่า อคติขนาดนั้นเลยหรอกับวงนี้ ก็เปล่านะ
เฉยๆ แต่ดูจาก mv หลายๆตัวแล้วก็คิดว่าดูไม่เก่งจริงอ่ะ

แล้วที่สำคัญปีนี้ก็แปลกประหลาดอีก ตรงที่ว่านักร้องที่ได้ไปสังกัดค่าย RS
สังเกตว่าปกติจะเป็น GMM ทุกปีเลย
ไม่รู้ปีนี้ยังไง แต่ก็ดีแล้วแหละ
เปลี่ยนๆบ้าง วนให้ค่ายอื่นๆไปกันบ้าง ปีหน้าก็ให้ค่ายอื่นบ้างละกัน
หรือไม่ถ้าจะให้ดี ก็ให้คน vote เลือกกันเลย

ระบายพอและ

พูดถึงงาน Asia Song Festival 2009 ต่อ
ปีนี้มีนักร้องมากมาย นอกจาก KO-TIC ดังนี้

จากเกาหลี :: BigBang, Super Junior, Girl's Generation และอีกคนนึง
(ยังไม่แน่ว่าจะเป็น DBSK หรือ Rain แต่ปกติ DBSK มาทุกปี)

จากจีน :: Chris Lee ผู้ชนะรางวัลนักร้องยอดนิยมในจีน จาก MTV Asia Award 2008

จากฮ่องกง :: Leon Lai (Li Ming)

จากไต้หวัน :: Wang Lee Hom

จากญี่ปุ่น :: Gackt, Ayaka

จากไทย :: K-OTIC

จากเวียดนาม :: My Tam เสียงดีสุดๆ

จากอินโดนีเซีย :: Agnes Monica สวย และเต้นเก่งมากๆ

จากฟิลิปปินส์ :: Sarah Geronimo

จากยูเครน (ชาติใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมปีแรก) :: Ruslana

งานจะจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2009 ที่สนามกีฬา ซออุลเวิล์ดคัพ

ส่วนเรื่องตั๋ว ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูมา
รู้สึกว่าจะฟรีนะ
แจกฟรีหน้างาน พอเข้างานได้ก็ไปนั่งไหนก็ได้ ถ้าหาทางเจอ

(
เรื่องบัตรนั้นฟรีค่ะ เค้าให้ส่งเมล์ไปให้เค้าอ่ะค่ะ แร้วก้อปริ้นไอ้ที่เค้าส่งกลับมาให้
(ปีที่แล้วดูรายละเอียดจากเวบออฟฟิเชียลของงานนี้อ่ะค่ะ)
ส่วนเรื่องรับบัตร เราไปรับหน้างานเลยอ่ะค่ะ
ตอนนั้นเราเรียนอยู่เกาหลีอ่ะค่ะ ไปตั้งแต่เที่ยง ไม่แน่ใจว่า ถ้าจากไทยโดยตรงต้องรับเมื่อไหร่
คงต้องรอเว็บ ออฟฟิเชียลหล่ะค่ะ
ที่มา: pantip.com)

อยากดู แต่คงไม่ได้ไป เหอๆ
ดู youtube เอาก็ได้


Wednesday, July 22, 2009

Life = Risk

วันไหนไม่รู้
ก็หาคลิปวีดีโอไปเรื่อยๆ (ทำการบ้าน innovative นั่นแหละ)
ก็ไปเจอกับคลิปนี้เข้า



ถ้าอยากจะอ่านก่อนว่า เป็นคลิปเกี่ยวกับอะไร

คลิปนี้เป็นคลิปที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตก็คือความเสี่ยง
เกิดมาเราไม่ได้ประสบความสำเร็จไปซะทุกอย่าง
ขนาดคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย ก็ยังต้องมีเวลาที่ล้มบ้าง
แต่เขาก็ยังพยายามต่อไป จนประสบความสำเร็จ

เป็นคลิปที่ให้กำลังใจดีทีเดียว

ก็ลองดูละกัน!!

Thursday, July 16, 2009

กับคำติดปาก "อะไรก็ได้"

คำว่า "อะไรก็ได้" เนี่ย
จะพบได้ทั่วไป เมื่อคุณถามพวกเพื่อนๆหรือคนรู้จักว่าจะกินอะไร

(อันนี้นี่มีคนส่งมาให้ในเมล์ ไม่รู้ว่าใครเคยเห็นบ้างมั้ย)
ทางบริษัทนึงในสิงคโปร์ก็ได้ทำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มออกมา
โดยใช้ชื่อว่า "Anything"
ก็ลองดูเลยละกัน
ไม่อธิบายมาก


คำอธิบายด้านหลังเขียนไว้ว่า เป็นน้ำอัดลมชนิดต่างๆ แล้วแต่ว่าเราซื้อแล้วจะได้อะไร


โฆษณาของ Anything Whatever ไม่แน่ใจว่าจากประเทศอะไร



ต่อไปใครพูดว่า กิน "อะไรก็ได้" ร้าน "อะไรก็ได้"
อาจจะมีอาหารที่ชื่อ "อะไรก็ได้" และ ร้านที่ชื่อ "อะไรก็ได้"
ใครจะรู้ !!!

Sunday, July 12, 2009

Eminem - Bagpipes From Baghdad VS Obsessed - Mariah Carey

ฮ่าๆ เป็นเรื่องขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่ eminem ชอบเขียนเพลงที่ล้อเลียนคนดัง
มาคราวนี้ eminem ก็ได้เขียนเพลงล้อเลียน mariah carey, nick cannon
ในเพลง "Bagpipes From Baghdad"

และที่สำคัญคราวนี้ Mimi ก็ได้เขียนเพลงออกมาบอกว่า คนๆนึง obsess ในตัว Mimi
ในเพลง "Obsessed" ในอัลบั้มที่ออกใหม่ "Memoirs of an Imperfect Angel"
โดยขึ้นต้นเพลงว่า "why are you so obsessed with me?"

ในเนื้อเพลงไม่ได้พูดถึงชื่อโดยตรง แต่พูดถึงปัญหาเรื่องยา
"It must be the weed, it must be the E. Cause you be poppin', you get it poppin'. "
ซึ่ง eminem ก็มีข่าวออกมาว่า ได้ออกมายอมรับว่าเกือบตาย เนื่องจาก กินยาเกินขนาด (drug overdose)

ที่สำคัญ พอเพลงนี้ออกมาปุ๊บ eminem ก็รีบออกมาแถลงข่าวใหญ่
จริงๆ ถ้าเงียบๆไป อาจจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ (ก็ eminem ไม่ได้ obsess นี่นา เค้าก็เขียนเหน็บแนมคนไปเรื่อยๆ)

ก็เลยเอาเนื้อเพลงทั้งสองเพลงมาให้ดูกัน


เพลง "Bagpipes From Baghdad" - Eminem
(เนื้อยาวมาก ขอตัดมาแค่ส่วนที่พาดพิงถึง mariah)

Locked in Mariah’s wine cellar all I had for lunch
Was red wine more red wine and captain crunch
Red wine for breakfast and for bunch
And to soak up in an between snack crackers to munch
Mariah what ever happened to us?
Why did we have to break up?
All I asked for was a glass of punch
You see I never really asked for much
I can’t imagine what's
Going through you mind after such
A nasty BREAK-up
With that latin hunk
Luis-Miguel, Nick Cannon better back the f**k-up
I’m not playing I want her back ya punk


และเพลง "Obsessed" - Mariah Carey
(ขอคัดมาแค่บางส่วน เพราะพาดพิงทั้งเพลง)

All up in the blogs
Saying we met at the bar
When I don’t even know who you are
Saying we up in your house
Saying I’m up in your car
But you in LA and I’m out at Jermaine’s
I’m up in the A
You so so lame
And no one here even mentions your name
It must be the weed, It must be the E
Cause you be popping hood
You get it popping, Oh

Why you so obsessed with me (Boy I wanna know)
Lying that you’re sexing me (when everybody knows)
It’s clear that you’re upset with me
Finally found a girl that you couldn’t impress
Last man on the earth still couldn’t hit this

You’re delusional, you’re delusional
Boy you’re losing your mind
It’s confusing yo, you’re confused you know
Why you wasting your time
Got you all fired up with your Napoleon complex
Seeing right through you like
You’re bathing in Windex
Boy why you so obsessed with me?




และก็เอาเพลง obsessed - Mariah Carey มาให้ฟังกัน




Thursday, July 9, 2009

ทะเล ท้องฟ้า กับแสงอาทิตย์

ขึ้นชื่อเรื่องเป็นอย่างนี้อาจจะงงว่านี่จะเขียนเรื่องอะไร
เรื่องที่จะเขียนก็คือ เมื่อวันหยุดยาวที่ผ่านมา 4-8 ก.ค. ไปเที่ยวมากับครอบครัว
สถานที่ที่ไปก็คือ เกาะนางยวน เกาะเต่า และเกาะสมุย

เป็น package ท่องเที่ยวที่หาซื้อจากงานท่องเที่ยวไทย ที่จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์

เดินทางจากกรุงเทพ ที่ตรงข้างวัดบวรฯ ตอนประมาณ 3 ทุ่ม เดินทางด้วยรถบัส
ไปถึงชุมพรประมาณตี 4 ได้ หลังจากนั้นก็นั่งเรือต่อเพื่อไปยังเกาะเต่า
ไปถึงเกาะเต่าประมาณ 6 โมงกว่าๆ
แต่ก็ยังไม่ได้พักที่เกาะเต่านะ ก็ยังต้องรอเรือนั่งต่อไปที่เกาะนางยวน เรือออกจากเกาะเต่าประมาณ 8 โมงครึ่ง

ระหว่างทางไปเกาะนางยวน ก็นั่งเรือเล็กออกไป และเขาก็พาไปดำ snorkel ดูปะการังกับสัตว์น้ำที่แถวๆเกาะนางยวนก่อนขึ้นเกาะนางยวน
ก็มีปะการังอยู่ไม่กี่แบบ แต่ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันดูน่ากลัว เป็นสีเหลืองๆ ดำๆ
แต่ปลาเสือเยอะมาก และก็ไม่กลัวคนเลย ว่ายมาใกล้มาก โดยเฉพาะตรงตัวเรือ จะมีปลาว่ายอยู่เยอะมาก
ก็ snorkel ไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ขึ้นจากทะเล และนั่งเรือต่อเพื่อไปยังเกาะนางยวน

ก็ขอพูดถึงเกาะนางยวนสักหน่อย เกาะนางยวน เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆเกาะเต่า
ประกอบด้วยเกาะ 3 เกาะที่เชื่อมกันด้วยหาดทราย
เป็นเกาะส่วนตัว มีโรงแรมบนเกาะแค่แห่งเดียว
ไม่มีร้านอาหารบนเกาะ นอกจากร้านอาหารของโรงแรม
เกาะนี้มีบริเวณหนึ่งที่เรียกว่า "Japanese Garden" ซึ่งเป็นสวนปะการังที่สวยงาม
เห็นลุงบนเกาะบอกว่า ติดอันดับ top ten ของโลกด้วย
เกาะนี้มีข้อห้ามเล็กน้อย นั่นคือ ห้ามนำขวดน้ำพลาสติกและตีนกบเข้าเกาะ

หลังจากนั่งเรือมาอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง ก็มาถึงเกาะนางยวน
ทางโรงแรมก็ได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้

หลังจากกินเสร็จ ก็ check-in โรงแรม ได้ห้องพัก 2 ห้อง แต่อยู่ไม่ติดกัน
ห้องนึงอยู่ข้าง lobby ภายในห้องสวยมาก
อีกห้องนึงต้องลำบากเดินขึ้นเขาไป แต่ก็โอเค

และก็รอเวลาจะลงเล่นน้ำ แต่ฝนก็ตกลงมา ตกหนักมาก

พอฝนหยุดก็มืดแล้ว ก็ไปกินข้าวเย็น
โทรทัศน์ในห้องจะดูทีวีปกติไม่ได้ แต่มีเครื่องเล่น DVD ซึ่งทางโรงแรมก็มี DVD/VCD ให้ยืมมาดูได้ที่ห้อง

ต่อจากนั้น กลับห้องมาก็อาบน้ำ นอน
ตื่นเช้ามาประมาณ 7 โมงเช้า รีบแต่งตัว และลงไป snorkel แถวชายหาด ตรงใกล้ๆ Japanese Garden
ก็เจอปะการัง กับปลามากมาย แล้วก็มีโอกาสได้เห็นดอกไม้ทะเล
แบบที่เห็นในเรื่อง Finding Nemo ที่เป็นเหมือนหลอดๆ พลิ้วตามน้ำ
แต่ก็ว่ายไปได้ไม่ไกลมาก เพราะกลัว ว่ายกันแค่ครอบครัว แล้วลมก็แรงด้วย
แต่ถ้าว่ายไปไกลกว่านี้ก็คงจะสวยกว่านี้แน่ๆ

ก็กลับมาที่ห้อง อาบน้ำ แต่งตัว และ check-out

ต่อจากนั้นก็นั่งเรือไปที่เกาะเต่า
ที่เกาะเต่า พักที่โรงแรม Koh Tao Resort ก็เป็นโรงแรมที่ดี ห้องดีมาก
แต่ทะเลไม่ค่อยสวย แล้วก็มีขยะด้วย
ก็ไม่เข้าใจว่า มีทะเลดีๆ แล้วก็ไม่รักษา ทิ้งขยะลงไป แล้วต่อไปทะเล สัตว์น้ำ มันจะไม่แย่หรอ
ก็ไม่ได้ลงเล่นน้ำ เพราะไม่กล้าเล่น

เช้าวันต่อมา ก็ออกเดินทางไปท่าเรือ เพื่อนั่งเรือไปยังเกาะสมุย
เป็นเกาะที่ใหญ่มาก มี seven-eleven หลายสาขามาก บางสาขาอยู่ห่างกันไม่กี่เมตร
มี Lotus Big C มีทุกอย่างที่ต้องการ

และได้เข้าพักที่ Chaweng Cove Resotel (มีทั้งห้องพักแบบ hotel และบ้านพักแบบ resort)
โดยได้พักส่วนที่เป็น Hotel เป็นห้องพัก
ห้องสวยมาก และเมื่อเดินไปดูทะเลก็สวยมาก

พอตอนเย็นๆ ก็ลงเล่นน้ำ เล่นๆไปก็รู้สึกเจ็บๆเหมือนมดกัด (มารู้ทีหลังว่าเป็นไรทะเลกัด)
เล่นประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ขึ้น
แล้วพอประมาณทุ่มนึงก็เดินไปที่ตลาดแหลมดิน เพื่อกินข้าวเย็น

วันต่อมา ก็ได้ check-out และเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆบนเกาะสมุย ได้แก่
หินตาหินยาย
วัดศิลางู
สวนผีเสื้อ
วัดพระใหญ่
วัดแหลมสุวรรณาราม

ต่อจากนั้นก็เดินทางไปยังสนามบินเกาะสุมย เพื่อรอนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ

สนามบินที่เกาะสมุย สวยมาก
เนื่องจากทางเกาะสมุยมีกฏห้ามสร้างตึกสูงเกิน 3 ชั้น
เพราะฉนั้น สนามบินที่เกาะสมุยจึงกินอาณาเขตกว้าง

อาคารผู้โดยสารขาออก เป็นอาคารชั้นเดียวขนาดกว้าง เป็นแบบเปิด ไม่มีเครื่องปรับอากาศ
ตกแต่งด้วยเก้าอี้หวายและหมอนสีสดใส
มีเครื่องดื่มและของว่างให้กิน

ห้องน้ำ มีประตูอัตโนมัติ และมีตู้ปลาด้านใน ติดเครื่องปรับอากาศ

เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน ก็นั่งรถเล็กไปยังเครื่องบิน
ก็ได้เห็นเครื่องบินระยะใกล้มาก แบบวิ่งเอามือไปแตะก็ยังได้
เครื่องขึ้นประมาณ 6.30 pm เดินทางถึงกรุงเทพประมาณ 8.00 pm

การไปเที่ยวครั้งนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ได้พบเจออะไรใหม่ๆ
ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ทำให้ผ่อนคลาย รวมทั้งอาจจะทำให้ได้ความคิดอะไรดีๆกลับมาอีกด้วย

และอีกสักพักจะเอารูปมาลงให้ดูนะ


Wednesday, July 8, 2009

กลยุทธ์ในการหา idea

คุณอาจจะมีปัญหาในการคิดสิ่งอะไรใหม่ๆที่แตกต่าง หรือ คิดอะไรออกมาก็ดูซ้ำซากไปหมด
กลยุทธ์เหล่านี้อาจช่วยคุณได้ กลยุทธ์นี้มี 3 ข้อ คือ

1. การหาทางเลือกจำนวนมาก เหมือนที่ได้กล่าวไปแล้วใน post "คุณจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกได้อย่างไร"
โดยมีกฏทองของความคิดสร้างสรรค์ ว่า "กำหนด quota ของ idea แล้วหา idea ให้มากกว่าหรือเท่ากับจำนวน quota นั้น"

2. การแสดงรายการคุณลักษณะ (Attribute Listing) คือการที่คุณคิดสิ่งของหรืออะไรสักอย่าง แล้วคุณก็คิดคุณลักษณะของมัน เพื่อประกอบเข้ามา เป็นผลงานอันใหม่ เช่น หา idea โทรศัพท์มือถือใหม่
ก่อนอื่นก็อาจจะคิดว่า มือถือที่คุณต้องการจะทำอะไรได้บ้าง สี รูปร่าง ปุ่มกด เป็นอย่างไร list รายการออกมา แล้วก็เลือก
เช่น มือถือของกลุ่มของฉัน ไม่มีรูปร่างถาวร สามารถปั้นได้และสามารถเปลี่ยนหน้ากากได้ default จะเป็นลิง หน้ากากรูปลิง มีขน ซึ่งขนสามารถยาวได้
หน้าจอจะขึ้นรูปหน้าคนที่กำลังติดต่อด้วย เป็นภาพ 3 มิติ
ที่ท้องของลิงจะมีสะดือ ซึ่งเป็นปุ่มกด 1 ปุ่ม เมื่อกดปุ่มนั้น จะมีปุ่มตัวเลขและปุ่มอื่นๆ เป็นภาพ hologram ซึ่งสามารถกดได้

คุณก็ลอง list ลักษณะต่างๆของสิ่งที่คุณต้องการดูสิ
อาจจะเป็นเรื่องที่สนุก ทำให้เกิดความคิดอะไรใหม่ๆ มากมาย

"ฝึกนิสัยให้เป็นนักผลิตไอเดียจำนวนมาก แล้วทำให้ไอเดียนั้นเป็นจริง"

3. การตั้งคำถาม คุณอาจจะงงว่าการตั้งคำถามเกี่ยวอะไรกับการหาไอเดียใหม่ แต่การถามคำถามนี่แหละ ที่จะทำให้คุณได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึง
แต่ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบคำถามด้วย รูปแบบคำถามที่เปิดโอกาสให้คุณได้ไอเดียต่างๆ คือ

"In what ways might I ... ?"
"ฉันสามารถจะ ... ด้วยวิธีใดได้บ้าง"

แทนที่คุณจะถามว่า ฉันสามารถจะ ... อย่างไร คำถามเช่นนี้จะทำให้คุณปิดไอเดียของคุณ เพราะคุณจะตอบคำถามด้วยคำตอบเพียงคำตอบเดียว
แต่เมื่อคุณถามตัวเองว่า "ฉันสามารถจะ ... ด้วยวิธีใดได้บ้าง" คุณจะพบว่าคุณจะตอบคำถามนี้ด้วยคำตอบต่างๆมากมาย

เทคนิคการตั้งคำถามยังมีประโยชน์อื่นๆอีก เช่น คุณอาจใช้ why-why diagram ในการหาสาเหตุของปัญหาต่างๆ
ซึ่ง why-why diagram มีรูปร่างหน้าตาดังนี้
เช่น คุณอาจจะตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดคุณถึงเรียนไม่เก่ง ก็คิดเหตุผลที่เรียนไม่เก่งมาประมาณ 3 ข้อ หรือมากกว่านั้น
แล้วจึงหาสาเหตุของเหตุผลนั้นๆต่อไปอีก

เพียงใช้ 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ คุณจะต้องได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำหรือประดิษฐ์สิ่งที่คุณต้องการอย่างแน่นอน

Thursday, July 2, 2009

salor stars ...

ระหว่างช่วงพักในวิชานึง ก็มีเพื่อนคนนึงพูดเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง salor stars ขึ้นมา
แล้วก็ถามเราว่ารู้จักมั้ย
เราก็ตอบได้เลยโดยทันที ว่า เราไม่เคยได้ยินจริงๆ มันเป็นเรื่องเลียนแบบ salormoon หรอ

เพื่อนเราก็ตอบว่า ไม่ใช่เป็นภาคต่อของ salormoon แหละ

อ่าว แล้วทำไมเราไม่เคยได้ยินอ่ะ
เคยได้ยินแต่ salormoon และเพื่อนๆอีก 4 คน
และก็ urenus neptune pluto อุซางิน้อย saturn
รวมก็แค่ 10 คน แต่ salor stars เพื่อนเราบอกว่าก็มีทั้งหมดนั่นแหละ บวกเพิ่มอีก 3 คน
ซึ่ง 3 คนที่เพิ่มมาเนี่ย ปกติจะเป็นผู้ชาย เป็นนักร้อง
แต่พอแปลงร่างเป็น salor stars แล้วจะเป็นผู้หญิง

เราไม่เคยได้ยินจริงๆนะเนี่ย มีด้วยเหรอ แบบชายแปลงร่างเป็นหญิงเนี่ยนะ
ก็ลองถามคนอื่นดู คนอื่นก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน

เพื่อนเราก็บอกว่า มีจริงๆ ก็เลยไป search google ดู
ปรากฏว่ามีจริงๆแหละ ไม่อยากจะเชื่อ
(ก็ลองไป search ดูเองละกันนะ)

ก็ไขข้อข้องใจไปข้อนึง คือเรื่องนี้มันมีอยู่จริง
แล้วเราก็คิดต่อว่า แล้วที่มันแปลงร่างแล้วแปลงเพศด้วยเนี่ย มันอยู่ในเรื่องจริงหรอ
มันเป็นการ์ตูนที่เด็กดูนะ เอาเรื่องแบบนี้ให้เด็กดูเนี่ยนะ

จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง: Diana, Luna-P, Sailor Star Fighter, Princess Kakyuu,Sailor Star Healer, Sailor Star Maker, Sailor Jupiter, Sailor Neptune, Sailor Uranus,Sailor Pluto, Artemis, Sailor Venus, Sailor Chibi Chibi Moon, Tuxedo Kamen,Sailor Mars, Sailor Moon, Sailor Mercury, Sailor Chibi Moon, Sailor Saturn, Luna

ก็ลองดูภาพที่ search จริงด้วยอ่ะ คือมันมีภาพแบบที่เป็นผู้ชาย แล้วก็มีแบบอย่างในภาพข้างบน salor stars จะใส่ชุดแบบ
เหมือนบิกินีอ่ะ ทั้งๆที่ก่อนหน้าจะแปลงร่างยังเป็นผู้ชายอยู่อ่ะ
แค่คิดก็สยองแล้ว เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อสุดๆ

นี่มันเป็นการ์ตูนให้เด็กดูไม่ใช่หรอ ทำไมเป็นอย่างนี้
แล้วเราก็เลยไปหา clip vdo ดู salor stars

ก็สยองและขำมาก ที่เห็นว่า
ในการ์ตูนคนเขียนวาด salor stars ตอนยังไม่แปลงร่างเป็นผู้ชายจริงๆ
แต่พอแปลงร่างก็เป็นผู้หญิงจริงๆ

ก็ลองไปดูหรือจะไม่ดูก็แล้วแต่

แต่สิ่งที่คาใจเราอยู่จนถึงตอนนี้ก็คือ

"การ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนเด็กหรือไม่ ถ้าใช่ ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้ด้วย"

Wednesday, July 1, 2009

My Role Models




1. Warren Buffett (เกิดเมื่อ 30 สิงหาคม 1930) เป็นนักลงทุนชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และ CEO ของ Berkshire Hathaway มีชื่อเสียงมากทางด้านหลักการการลงทุน และความประหยัด ทั้งๆที่ตัวเขาเองรวยมาก (ในปี 2008 ก็ได้เป็นคนที่รวยที่สุดในโลก แย่งตำแหน่งนี้ไปจาก Bill Gates แชมป์ 15 ปีซ้อน)

เขาเป็นลูกชายคนเดียว และเป็นลูกคนที่สองของ Howard Buffett
เมื่อพ่อของเขาได้รับเลือกตั้งเพื่อเข้าไปทำงานในรัฐสภา ตอนเขาอายุประมาณ 15 ปี เขาก็สามารถเริ่มธุรกิจของตัวเองได้จากเงินก้อนนึง โดยได้ซื้อเครื่องเล่น pinball ที่ตั้งอยู่ในร้านตัดผม 3 แห่งด้วยกัน
เขาจบการศึกษาปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์ มาจาก University of Nebraska และปริญญาโท ด้านเศรษฐศาสตร์ มาจาก Columbia University


หลังจากที่จบการศึกษาปริญญาโท เขาก็ได้เข้าทำงานที่บริษัทต่างๆ รวมถึงก่อตั้ง Buffett Partnership Ltd. ในปี 1956 และหลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าลงทุนในหุ้น และก่อตั้งบริษัทอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ โดยได้ร่วมลงทุนกับคนอื่นๆที่เขารู้จัก
และในปี 1979 เมื่อหุ้นที่เขาซื้อไว้แต่แรก ราคาขึ้น ก็ทำให้เขามีทรัพย์สินทั้งหมด 620 ล้านดอลลาร์ และได้ขึ้นนิตยสาร Forbes 400 เป็นครั้งแรก

นอกจาก Warren Buffett จะเป็นคนที่รวย ประหยัด แล้ว เขายังใจบุญอีกด้วย
โดยในปี 2006 เขาได้ให้คำสัญญาว่า เขาจะค่อยๆมอบ 85% ของหุ้น Berkshire class B ให้แก่มูลนิธิ 5 แห่ง ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2006 และมูลนิธิที่ได้ส่วนแบ่งมากที่สุดก็คือ Bill and Melinda Gates Foundation ซึ่งได้ถึง 83%

และยังตั้งมูลนิธิขึ้นมา เช่น Susan Thompson Buffett Foundation Buffett Foundation

ปัจจุบัน Warren Buffett ถือหุ้นขององค์กรหรือบริษัทที่น่าเชื่อถือมากมาย เช่น ABC Coca-Cola Company

เหตุผลที่เลือก Warren Buffett เพราะว่า
เขาเป็นคนที่มีความฉลาดในด้านการวิเคราะห์ตลาดหุ้น ตลาดการเงิน รู้ความต้องการ ความเป็นไปในอนาคต
และเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เช่น ขับรถเอง เงินเดือนน้อย และในปี 2006 ก็มีรายงานว่าเขาไม่พกมือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน ถึงแม้จะมีเงินมากมาย อีกทั้งยังคืนกำไรสู่สังคม โดยบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิต่างๆ และเป็นคนที่ทำอะไรต้องไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ


-----------------------------------------------------------------------------------



2. Angelina Jolie (Angelina Jolie Voight เกิดเมื่อ 4 มิถุนายน 1975) เป็นดารา Hollywood ที่น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเธอ
Angelina เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง และในปีที่ผ่านมาจากการสำรวจของ Forbe เธอถูกจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่มีรายได้ต่อปีมากเป็นอันดับที่ 3 เลยทีเดียว เธอประสบความสำเร็จทั้งด้านอาชีพ ความรัก ครอบครัว และอีกทั้งเธอยังเป็นผู้ที่เป็น Goodwill Ambassador ให้ UN Refugee Agency เนื่องจากเธอเห็นความสำคัญของมนุษยธรรม (humanitarian)


Angelina เป็นลูกสาวของดารา Jon Voight และ Marcheline Bertrand ชีวิตวัยเด็กของเธอไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เนื่องจากพ่อและแม่ของเธอได้หย่ากัน และเธอก็ได้ไปอยู่กับแม่ และรายได้ของแม่ก็น้อยมาก ทำให้เธอต้องใส่แต่เสื้อผ้ามือสอง และเธอก็โดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อ เพราะว่าเธอทำตัวแปลก และเธอก็เริ่มทำร้ายตัวเองด้วยมีด

และในปี 2002 เธอก็ได้เปลี่ยนชื่อของเธอจาก Angelina Jolie Voight โดยตัด นามสกุลของพ่อเธอออกไป เป็น Angelina Jolie และเธอก็ได้ออกมาประกาศว่า เธอกับพ่อของเธอไม่พูดกัน และเธอก็ไม่ได้โกรธเขา และไม่เชื่อว่าครอบครัวนั้นเกิดจากสายเลือดเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากเธอเพิ่งรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และมันก็ทำให้เกิดครอบครัวที่ดี และในปีต่อๆมา เธอก็ยังรับลูกบุญธรรมมาเพิ่มอีก และตอนนี้เธอมีลูกทั้งหมด 6 คน ซึ่งเป็นลูกที่เกิดกับ Brad Pitt 3 คน และเป็นลูกที่รับมาเลี้ยงอีก 3 คนจากกัมพูชา เอธิโอเปีย และเวียดนาม


"We cannot close ourselves off to information and ignore the fact that millions of people are out there suffering. I honestly want to help. I don't believe I feel differently from other people. I think we all want justice and equality, a chance for a life with meaning. All of us would like to believe that if we were in a bad situation someone would help us."
—Jolie on her motives for joining UNHCR in 2001
เป็นคำพูดของ Jolie เมื่อเธอเข้าร่วม UNHCR ในปี 2001 ซึ่งแปลความได้ว่า เราไม่สามารถหลีกหนีข้อมูลข่าวสารและไม่สามารถละเลยความจริงที่ว่า มีคนหลายล้านคนบนโลกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันอยากจะช่วยเหลือพวกเขาจริงๆ ฉันคิดว่าคนอื่นๆก็คงรู้สึกเหมือนกับฉัน ทุกคนต้องการความยุติธรรมและความเท่าเทียม โอกาสที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย พวกเราทุกคนจะเชื่อว่า เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ๆ ก็ต้องมีคงจะช่วยเรา


จุดเริ่มต้นของการเข้าร่วม UNHCR คือ เมื่อเธอได้แสดงเรื่อง Lara Croft ในกัมพูชา ก็ทำให้เธอไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ที่ UNHCR และ Jolie ก็ยังได้ไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยมากมายทั่วโลก นอกจากนี้เธอก็ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับมูลนิธิของ UNHCR อีกด้วย


เมื่อ 27 สิงหาคม 2001 เธอก็ถูกแต่งตั้งให้เป็น UNHCR Goodwill Ambassador ที่สำนักงานใหญ่ UNHCR ใน Geneva และเธอก็ยังคง ทำหน้าที่นั้นจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเธอก็เคยได้รับรางวัลเกี่ยวกับการทำงานด้านนี้มาหลายรางวัล เช่น Freedom Award โดย International Rescue Committee เป็นต้น และ Jolie ก็บริจาคเงินให้กับมูลนิธิต่างๆมากมายอีกด้วย



เหตุผลที่เลือก Angelina Jolie เพราะว่า
ถึงแม้ในวัยเด็กของเธอจะมีปัญหา แต่เธอก็สามารถผ่านมันไปได้
เธอมีความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง
เธอเป็นคนที่เข้าใจความทุกข์ทรมานของผู้อื่น และทำงานเพื่อช่วยเหลือคนที่ทุกข์ทรมานเหล่านั้น


-----------------------------------------------------------------------------------



3. Ayumu Narumi (อายูมุ นารุมิ) เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง Spiral : The Bonds of Reasoning (ตัวละครชายในภาพด้านซ้าย)

เป็นตัวดำเนินเรื่องในเรื่อง spiral อายูมุจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ และยังมีคนจ้องที่จะทำร้ายเขาและคนที่เขารักและห่วงใย ทำให้เขาต้องต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อเอาชีวิตรอดและทดสอบโชคชะตา และปกป้องคนที่เขารัก

อายูมุเป็นน้องของคิโยทากะ ซึ่งเป็นอัจฉริยะในทุกๆด้านไม่ว่าเขาจะทำอะไร อายูมุ ซึ่งเป็นน้องจึงไม่แปลกที่จะรู้สึกด้อยกว่าพี่ชาย แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ และพยายามจนที่สุด

อายูมุ ตอนแรกของเรื่องจะเป็นคนที่สบายๆ แต่เป็นคนเก่ง แต่ไม่อยากที่จะทำ เพราะรู้สึกว่าทำไปก็ยังด้อยกว่าพี่ชายของตนเอง จึงไม่ทำ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ที่บีบคั้นให้ต้องทำ เขาก็จะทุ่มสุดตัว

และในเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่ใช้สมอง ที่ใช้วางแผนกลยุทธ์ สภาพจิตใจและจิตวิทยา มาต่อกรกัน อายูมุ ถึงแม้ว่าเขาจะกลัวหรือประหม่า แต่เขาก็ควบคุมตัวเอง และใช้ความฉลาดของเขาไปสู่เป้าหมายได้
อีกทั้งสภาพจิตใจของเขายังเป็นเลิศ เช่น มีอยู่ตอนหนึ่ง ที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาถูกจับตัวไป เขาก็ต้องเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องวางแผนการเคลื่อนไหวทั้งหมดก่อน ว่าต้องเป็นไปอย่างไร เจอกับคนนี้ทำอย่างไรและจะต้องมีแผนสำรองไว้ตลอด เนื่องจากการดำเนินการอาจมีข้อผิดพลาดได้ อีกทั้งยังต้องอาศัยสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ทำให้ตัดสินใจและคิดภายในเวลาจำกัด
ความฉลาดและสภาพจิตใจอันเข้มแข็งของเขาก็ทำให้ผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาได้มากมาย


นอกจากนี้อายูมุยังเป็นคนที่จะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ตามที่ได้ตั้งใจไว้แล้ว เช่น เขาตั้งใจว่าจะช่วยเหลือพวก blade children เขาก็ไม่ได้ทำร้ายใคร แต่กลับช่วยเหลือทางด้านจิตใจกับคนพวกนั้น เพื่อให้เขากลับใจ และในที่สุดเขาก็สามารถทำให้พวก blade children ทั้งหมดกลับใจได้

เหตุผลที่เลือก Ayumu Narumi เพราะว่า
เขามีทั้งความฉลาด หลักแหลมในทุกๆด้าน เช่น ด้านตรรกะ ด้านดนตรี
เขามีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง รวมทั้งการใช้จิตวิทยาที่ดี
เขาเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ไม่มีอะไรจะมาขวางเขาได้


-----------------------------------------------------------------------------------


และทั้งหมดก็คือ Role Model ทั้ง 3 คนของฉัน