-- * Story of My Life * --
PouNdPoN (●>ω<●)

Tuesday, June 30, 2009

Joshua ความคิดของเด็กหรอนั่น?!


เมื่อวันอาทิตย์ ก็เปลี่ยนช่องมาเจอ Joshua
เป็นหนังเรื่องนึง ก็ไม่ได้รู้ความเป็นมาอะไรมาก
ก็เปิดผ่านมารอบนึงแล้ว แต่ไม่ได้ดู
แต่ช่องอื่น มันไม่มีอะไรให้ดู ก็เลยลองมานั่งดูดูว่าเป็นไง

เรื่องเป็นประมาณว่า
มีครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชายคนโต และลูกที่เพิ่งเกิดใหม่

เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ ก็ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากทั้งพ่อ และแม่
ทำให้ลูกชายคนโต ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่เคย

แม่เมื่อต้องดูแลลูก ที่ร้องไห้เวลากลางคืนบ่อยๆ แต่ก็ไม่มีน้ำนมให้ ก็เริ่มวิตกกังวล
รวมถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างแม่สามี
ทำให้เธอเริ่มเครียด และเกิดอาการทางจิตเล็กน้อย

ส่วนทางพ่อ ก็ต้องคอยดูแลลูกคนเล็กบ้าง ดูแลภรรยาตัวเองที่มีอาการทางจิต
และก็ยังต้องทำงานที่ตัวเองโดนเพ่งเล็งจากเจ้านาย และอาจจะตกงาน
แต่ก็ยังเอาใจใส่กับลูกคนโต (Joshua) เรื่อยๆ


ในที่สุด ก็ต้องให้แม่สามี กับน้องชาย มาดูแลบ้านให้
ในไม่ช้า เรื่องราว ก็เริ่มเกิดเรื่องประหลาดมากขึ้นในบ้าน
เช่น หมาที่เลี้ยงไว้ตาย ลูกคนเล็กร้องไห้ตอนกลางคืนบ่อยมาก

และต่อมา เรื่องราวก็ค่อยๆ เผยออกมาว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร

ถ้าอ่านต่อไปจะเป็น ส่วนที่ spoil นะ


ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่า Joshua ลูกชายคนโตของตรอบครัวนี้รู้สึกว่า
พ่อแม่ ไม่มีความหมายกับเขา ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจเขา
เขาก็วางแผน และดำเนินการตามแผนไปเรื่อยๆ เช่น
ให้แม่เดินเหยียบแก้ว เท้าเป็นแผล
ทำให้น้องคนเล็กร้องไห้ตอนกลางคืน
ทำให้หมายตาย
ทำให้ยายตาย
ทำให้พ่อโดนจับเนื่องจากเข้าใจผิดว่า ทารุณกรรมเด็ก
ทำให้แม่เกิดอาการทางจิตมากขึ้น จนต้องเข้าโรงพยาบาล



เล่าไปก็คงไม่สนุกเท่ากับไปดูเอง
แต่ที่สำคัญคือ
เรื่องดำเนินมาแล้วก็มานั่งคิดว่า
เด็กอายุ 9-10 ขวบทำได้ถึงขนาดนี้เลย
ความคิดของเด็กเหรอนั่นหนะ
ถ้าโตขึ้นมาจะเป็นยังไงเนี่ย

น่ากลัวจริงๆ


Saturday, June 27, 2009

คุณจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกได้อย่างไร

คำถามนี้อาจจะเป็นคำถามที่ไม่น่าถามเลย ถ้าคุณได้เรียนวิชาฟิสิกส์มาแล้ว
หลายๆคนมีคำตอบในใจแล้ว ตามที่ได้เรียนมา

แต่เมื่อคำถามนี้ได้มาอยู่ในวิชา innovative thinking มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

คุณก็ต้องลองคิดดีๆอีกที ว่าเราสามารถใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงได้ยังไง
(โดยไม่ได้อยู่แค่ในกรอบของวิชาฟิสิกส์)
ทีนี้คุณก็อาจจะพบว่า มันมีหลายคำตอบมาก

คุณอาจจะเอาบารอมิเตอร์ทิ้งดิ่งลงมา วัดเวลา คำนวณก็ได้
หรือตามแบบฟิสิกส์ เอาบารอมิเตอร์ไปวัดที่ยอดตึก รู้ความสูงของปรอท ก็รู้ความสูงของตึกได้จากการคำนวณ
หรือคุณอาจจะเอามันมาวัดเหมือนไม้บรรทัดก็ได้
หรือคุณอาจจะเอาเชือกมาผูกติด และหย่อนมันลงมาจากยอดตึก แล้วจึงวัดความยาวเชือกก็ได้
มีคำตอบอีกมากมาย

เนื่องจากเราได้รับการสอนแนวทางมาในการใช้ความคิดในด้านต่างๆ เช่น จากตัวอย่างการใช้บารอมิเตอร์ในวิชาฟิสิกส์
ก็จะทำให้เราตีกรอบความคิดของเราเอง

ลองคิดดูสิว่า ถ้าเราไม่เคยเรียนมาว่าบารอมิเตอร์ใช้อย่างไร แล้วอาจารย์สั่งให้เราวัดความสูงของตึก
ทีนี้ ทุกคนก็จะได้คำตอบที่หลากหลาย

จากที่ได้เรียน innovative thinking 4 ก็ได้รู้ว่า คนเรามี 2 ประเภท แยกโดยการหาคำตอบ
นั่นคือ
1. พวก satisfier จะเป็นพวกที่ได้รับการสอนมา ก็จะตีกรอบความคิดของตนเอง
เหมือนกับคนที่หาเข็มในกองฟาง เมื่อพบเข็มเล่มแรกก็จะหยุดหาทันที

2. พวก optimizer จะเป็นพวกมองปัญหาในมุมมองต่างๆ ไม่ตีกรอกความคิดและมุมมองของตนเอง
เหมือนกับคนที่หาเข็มทุกเล่มที่มีอยู่ในกองฟาง (อาจจะเพื่อหาเล่มที่ดีที่สุด)

พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ดังๆ เช่น Einstein มีบทความที่ตีพิมพ์มากกว่า 240 บทความ
แต่ก็มีที่ดังๆ ที่เรารู้จักกันก็ไม่กี่อัน

หรือ Edison จดสิทธิบัตรไปถึง 1,093 ฉบับ
โดย Edison นั้นมีคติว่า
"ต้องคิดผลงานใหญ่ๆทุก 6 เดือน และคิดผลงานเล็กๆ ทุก 10 วัน"

การปล่อยความคิดเล็กๆให้ผ่านไป ความคิดเล็กๆอันนั้นที่เราปล่อยให้หายไป อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
เราต้องคิดหลายๆความคิด เพื่อหาอันที่ดีที่สุดออกมา
ดังคำกล่าวของ Linus Pauling ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัล Nobel

"The best way to get a good idea is to get a lot of ideas."

ดังนั้นหากคุณต้องคิด ตัดสินใจอะไร ก็ลองคิดหลายๆมุมมองดู
คุณอาจจะได้คำตอบที่ดีที่คุณอาจจะคิดไม่ถึงก็ได้

และสุดท้ายมีกิจกรรมเพื่อพัฒนาตัวเองมาฝาก
นั่นคือ
กิจกรรม ILP "เรียนเก่งอย่างมีความสุขด้วย mindmap"
จัดขึ้นวันที่ 28-29 กค 2552 เวลา 1-4 pm
ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.gened.chula.ac.th

Thursday, June 25, 2009

amazing-kanye สุดยอด mv ภาพสวย

หลังจากที่ได้ดู mv ตัวนี้ใน V Boutique ก็แบบ
โห สุดยอด ภาพสวยอ่ะ
สีก็สวย
เพลงก็โอเคเลยทีเดียว



ในอัลบั้มนี้ รู้สึกว่าจะใส่จังหวะ ไม่ว่าจะเป็นกลองหรืออื่นๆ ที่เป็นแบบชาวป่าเยอะมาก
แล้วก็มี sound แบบ electro ด้วย
ตั้งแต่ mv ที่ปล่อยออกมา เช่น heartless, love lockdown
mv ทุกอัน ก็มีชาวป่าอยู่ทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
แต่ก็เป็นแนวใหม่ style kanye west ซึ่งเป็นคนที่ทำเพลง hiphop ได้แปลกดี



mv amazing อันนี้ ถ้าไปดูใน tv จะแบบ ภาพสวยสุดยอด
เค้าถ่ายทำได้สวยด้วยแหละ
แสงสี สุดยอด

"Amazing" ถ่ายทำที่ Kauai, Hawaii และกำกับโดย Hype Williams.
ซึ่ง Hype Williams มีชื่อเสียงมากในด้านการสร้าง mv ให้แก่พวกนักร้อง hip-hop และ R&B
ซึ่งก็ได้เคยสร้าง mv Gold-Digger ให้ kanye มาแล้ว
นอกจากนี้ก็มีนักร้องคนอื่นๆ ที่ hype williams กำกับ mv ให้ เช่น
"So Sick" - Ne-Yo
"Check On It" - Beyoncé
และ hype williams ก็เคยได้รับรางวัลมากมายจากการกำกับ mv

พูดถึงผู้กำกับพอและ พูดถึงตัว mv ต่อ
mv amazing ได้ถูก release ออกมาครั้งแรกในวันที่ 23 เมษา 2009
แต่กว่าจะเข้ามาเมืองไทยได้เห็นกัน ก็ประมาณอาทิตย์นี้แหละ เราเห็นครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนา อ่ะ
หรือว่ามันจะมาก่อนหน้านี้ แต่เราไม่เห็น ก็ไม่รู้เหมือนกัน

เอาเป็นว่า ก็ลองดูเอาละกัน ว่า mv สวยจริงมั้ย

Amazing Kanye West Feat. Young Jeezy


Tuesday, June 23, 2009

Mind กับ innovative thinking 3

วันศุกร์ที่ผ่านมาก็ได้เข้าเรียนวิชา innovative thinking แบบเข้าสาย
เพราะว่าต้องไปทำธุระนิดหน่อยตอนบ่ายโมงครึ่ง

เรื่องแรกที่ได้ยินอาจารย์พูดก็คือเรื่อง Affirmation การย้ำจิต
ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า
"Fake it until you make it"

หรือที่ Richard Bach ได้พูดไว้ว่า
"Sooner or later, those who win are those who think they can"

ซึ่งแปลได้ว่า
เราต้องคิดก่อนว่าเราทำได้ เราเป็นได้ แล้วเราก็จะสามารถเป็นหรือทำตามที่เราต้องการได้

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของ mind ball
ซึ่งเป็นลูกบอลที่จะนิ่งเมื่อเรารู้สึกผ่อนคลาย
แต่จะเคลื่อนที่เข้าหา เมื่อเรารู้สึกตื่นเต้น

และก็ได้เรียนรู้ถึงคลื่นสมองต่างๆ
และได้รู้ว่าคลื่นสมอง alpha wave เป็นคลื่อน ความถี่ 8-13 Hz
ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึก awake และ relax มีประโยชน์มาก

อีกทั้งยังมีเรื่องเกี่ยวกับความคิดกับผลึกน้ำที่ Dr.Masaru Emoto เป็นผู้ศึกษา
เป็นเรื่องการวิจัยที่โด่งดังในปี 2008

การเรียนในครั้งนี้มีvdo ให้ดูเยอะดี
แล้วเราก็ติดใจอยู่เรื่องนึง ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
แต่ว่าเป็นหนังญี่ปุ่น ที่มีสัตว์ประหลาด ท่าทางน่าดู

นอกจากเรื่องนั้น(ที่ไม่รู้ชื่อ) ก็มีเรื่อง seven samurai ที่เป็นหนังโบราณเหมือนกัน
แต่ก็เป็นเรื่อง classic อมตะ

ซึ่ง vdo ทั้งสองอันที่พูดถึงก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสติและสมาธิ
(ซึ่งหลายๆคนก็คงงงว่าสติคืออะไร สมาธิคืออะไร
พูดง่ายๆก็คือ
สติ - การรับรู้ สมาธิ - การจดจ่อ)
ดังนี้
ในเรื่องที่ไม่รู้ชื่อ มีสัตว์ประหลาดวิ่งมา แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังฟังเพลง
ก็ไม่ได้รู้เรื่องว่ามีสัตว์ประหลาดวิ่งมา กว่าจะรู้ก็โดนสัตว์ประหลาดกระชากตัวไปแล้ว
(มีสมาธิ แต่ไม่มีสติ)

เรื่อง seven samurai ก็ดึงเรื่องตรงที่ว่า
มีซามูไรคนหนึ่งต้องการรวบรวมคนมีฝีมือไปปราบโจร
ก็ใช้การทดสอบโดยให้ศิษย์ทำเป็นลอบทำร้ายจากมุมที่มองไม่เห็น
ก็มีซามูไรคนนึง เดินมาแล้วก็ยิ้ม บอกว่า "ท่านจะทำอะไรน่ะ"
เค้ารู้ได้ว่า มีคนซ่อนอยู่และต้องการทำร้ายเขา
(มีสมาธิ และมีสติ)

Tuesday, June 16, 2009

Guitar Idol 2009 ยินดีด้วยกับ Jack Thammarat (มือกีต้าร์คนไทย)

คุณรู้หรือไม่ว่าคนไทยชนะ Guitar Idol 2009 ?


Guitar Idol เป็นการประกวดมือกีต้าร์
โดยรอบแรกผู้เข้าประกวดต้องเล่นเพลงและ upload เป็น video มา
แล้วกรรมการจะตัดสินเลือก 8 คนและอีก 4 คนจาก public vote
ซึ่งจะมาเป็นผู้เข้ารอบสุดท้าย
และได้ไปเล่นกีต้าร์โชว์ที่
LONDON INTERNATIONAL MUSIC SHOW - 13th June 2009

รายชื่อและ video ของ Finalist

และรอบสุดท้ายนี้จะตัดสินโดยการให้คน vote จากทั่วโลก
และในที่สุดก็ได้ผู้ชนะ นั่นคือ

คุณ Jack Thammarat (ธรรมรัตน์)ซึ่งเล่นเพลง On the way


เราก็เล่นกีต้าร์ไม่เป็นหรอกนะ
แต่เพลงก็เพราะดี แล้วก็รู้สึกว่าตอนเล่นรัวๆ เนี่ยสุดยอดจริงๆ

ว่าแล้วก็ดูกันเลยดีกว่า

Super Junior, 2PM

ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ ว่าเพลงของทั้งสองวงนี้ดี
แต่ single ที่ออกมาก็ดีเลยทีเดียว
Super Junior - Sorry,Sorry , It's You ,
Heartquake(ยังไม่ออกมา แต่ฟังแล้วเพราะดี)

2PM - Again and Again , 돌아올지도 몰라
ที่อยู่ใน mini album "Time for Change"

อย่าง sorry,sorry ก็มีแนวดนตรีที่แปลกออกไปดูไม่เหมือน super junior วงเดิม
ก็เพราะได้นักแต่งเพลงต่างชาติมาช่วยทำเพลงหลายคนมาก

แล้ว 2PM ก็เปลี่ยนแนวเพลง รวมถึงเปลี่ยนการแต่งตัว ทรงผมใหม่
ให้ดูโตขึ้นกว่าอัลบั้มที่แล้ว

ก็ดีนะ ว่าแล้วก็เอาเพลงมาให้ฟังกัน

อันนี้เป็น Heartquake - Super Junior feat. Micky , U-Know from DBSK




ส่วนอันนี้เป็น Again and Again - 2PM




แล้วทำไมเพลงไทยถึงทำแบบนี้บ้างไม่ได้อ่ะ?! อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

Sunday, June 14, 2009

No Country for Old Men(2007) from climax to nothing

(บทความนี้เป็นความคิดของผู้เขียนเท่านั้น)

วันนี้ดูเรื่อง No Country for Old Men ใน truevision
ก็เปลี่ยนช่องไปมาอยู่ตั้งนาน กว่าจะเลือกดูเรื่องนี้ จริงๆไม่ใช่เพราะอะไร
แต่เพราะว่าไม่มีหนังอะไรให้ดู

ก็เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาบ้าง
จำได้ว่าเข้าชิง Oscar ด้วย
ก็น่าจะดีนะหนังเรื่องนี้ ก็ตัดสินใจดูเรื่อง No Country for Old Men



หนังเรื่องนี้หลักๆเกี่ยวกับผู้ชาย 3 คน ที่เหมือนเป็นแมวไล่จับหนู
คือ

Ed Tom Bell (Tommy Lee Jones) เป็นนายอำเภอ



Anton Chigurh (Javier Bardem) เป็นนักฆ่าที่มีอาวุธเป็น ปืนรูปร่างประหลาด (captive bolt pistol)

Llewelyn Moss (Josh Brolin) ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไปท้าสู้กับนักฆ่า

มีเนื้อเรื่องอยู่ว่า
Llewelyn บังเอิญไปเจอกระเป๋าที่มีเงิน 2 ล้าน
หลังการต่อสู้ของพวกค้ายาที่สาดกระสุนใส่กันและไม่มีใครรอดสักคน
เขาก็เอากระเป๋านั้นกลับบ้านและหลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปยังโรงแรมหนึ่ง

Ed Tom Bell กำลังตามจับ Anton
เนื่องจากฆ่าเจ้าหน้าที่และฆ่าคนอีกจำนวนมาก

Anton ถูกจ้างมาเพื่อเอากระเป๋าเงินดังกล่าว ก็ได้ตาม Llewelyn ไปที่โรงแรม
โดยตามร่องรอยตัวส่งสัญญาณที่อยู่ในกระเป๋าเงิน

ฉากนี้ก็มีการแสดงความฉลาดของแต่ละคน ต้องไปลองดู

แต่ Llewelyn ก็หนีพ้นมาได้พร้อมกระเป๋าเงิน
ต่อมา Llewelyn ก็ได้ไปพักที่อีกโรงแรมหนึ่ง และก็ได้ค้นพบว่ามีตัวส่งสัญญาณอยู่ในกระเป๋า
แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะว่า Anton ได้มาถึงที่โรงแรมนั้นแล้ว
Llewelyn ก็รอที่จะต่อกรกับ Anton แต่ก็ไม่คาดคิดว่า Anton จะยิงทะลุกลอนประตูเข้ามา
Llewelyn ยิงตอบโต้ไป เกิดการต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย

Llewelyn ก็หนีไปที่ Mexico และนำกระเป๋าไปซ่อนที่ชายแดน America-Mexico
หลังจากพักฟื้นที่โรงพยาบาลใน Mexico เขาก็ได้นัดแนะให้ภรรยาของเขามาหาที่ El Paso
แต่เมื่อ Ed และภรรยามาถึงที่นั่น ก็พบว่า Llewelyn ตายแล้ว
ก็รู้ได้ทันทีเลยว่า Anton ได้ฆ่าเขา เนื่องจากที่กลอนประตูได้ถูกยิง

ต่อมาภรรยาของเขาก็ได้เจอ Anton ที่บ้านของเธอ และ Anton ต้องการที่จะฆ่าเธอ
เนื่องจากเขาได้ยื่นข้อเสนอให้แก่ Llewelyn ก่อนที่เขาจะตายว่า
ให้เอากระเป๋าเงินมาให้เขาแล้วเขาจะไว้ชีวิตภรรยา
แต่ Llewelyn ก็ไม่ได้ทำตาม

ตอนนี้เขาจึงจะมาฆ่าภรรยาของ Llewelyn
แต่เธอก็บอกกับเขาว่า "You don't have to do this"
ซึ่งเป็นประโยคเด่นของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นประโยคที่เหยื่อทุกคนของ Anton พูด
เขาก็ให้เธอทายหัวก้อยจากการโยนเหรียญ แต่เธอก็ไม่สนใจที่จะทาย
(ถ้าทายถูกจะไว้ชีวิต)
โดยเธอได้พูดไว้ว่า "It doesn't depend on the coin ,it's up to you"
เรื่องไม่ได้ฉายให้ดูว่า Anton ฆ่าภรรยาของ Llewelyn หรือเปล่า
หลังจากที่ Anton ออกจากบ้านภรรยาของ Llewelyn แล้ว เขาก็ขับรถไปตามทาง
และได้ถูกรถอีกคันหนึ่งขับมาชน จนเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
แต่ก็หนีไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุ

หนังก็ตัดไปที่ Ed ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความฝันของตนเอง
โดยบอกว่า ฝันเกี่ยวกับคุณพ่อของเขา
ฝันแรก เขาทำเงินที่พ่อเขาให้ไว้หาย
และในฝันที่ 2 พ่อของเขาขี่ม้า โดยถือคบไฟ และขี่ม้าผ่าน Ed โดยก้มหัวลงและ
"going on ahead, and fixin' to make a fire"
และเมื่อ Ed ไปถึงที่นั่น พ่อของเขาก็กำลังรอเขาอยู่
แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมา

เรื่องก็จบลงตรงนี้ อย่างนี้
หนังอาจจะเป็นปรัชญาก็ได้มั้ง ไม่รู้
เรารู้แต่ว่า พอหนังจบปุ๊บก็พูดออกมาเลยทันทีว่า
"จบแบบนี้เนี่ยนะ ดูมาตั้งนาน อย่างงี้ไม่น่าดูเลย"
เรื่องกำลังถึงจุด climax และก็จบแบบไม่มีอะไร จบดื้อๆทื่อๆ ซะงั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนกลางๆเรื่องก็สนุกอยู่เหมือนกัน
เพราะต้องลุ้นว่า Llewelyn จะรอดเปล่า
แล้ว Anton ก็ฆ่าแหลกจริงๆ ดูแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะดูเวลายิงซะเท่าไหร่ กลัว

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ลองไปดูกันละกัน เรื่อง No Country for Old Men
เดือนนี้ truevision เอามาฉายมั้ง


เรื่องนี้แต่ละคนคิดยังไงก็ไม่รู้
แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิง Oscar 8 สาขา
และกวาดรางวัล Oscar ไปได้ถึง 4 รางวัล
นอกจากนี้ก็มีรางวัลอื่นๆอีกมากมาย เช่น British Academy Film Awards (BAFTA)

Innovative Thinking 2 กับ พลโทอานันท์ ชินบุตร

วันศุกร์ที่ผ่านมา(12 มิย)ก็ได้ฟังการบรรยายของพลโทอานันท์ ชินบุตร
ในชั่วโมง innovative thinking

พลโทอานันท์ เปิดตัวด้วยการเปิดคลิปวีดีโอแนะนำตัวเอง
ต่อจากนั้นก็เป็นการสอน จากที่สรุปมาก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำตามฝันของตนเอง

การสอนเริ่มด้วย quote ที่ว่า
"Simple but not easy"
เป็นความคิดในการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆของ Thomas Alva Edison
ที่ของที่จะประดิษฐ์นั้นดูแล้วเรียบง่าย แต่จริงๆแล้วไม่ง่ายเลยที่จะประดิษฐ์ได้

หลัก "ดีได้ด้วย 5D"
  1. Dare to Dream
  2. Decide to Do
  3. Determine to Be Done
  4. Deal with Disappointment
  5. Delegate Your Duties
ต่อมาเป็นส่วนประกอบของมนุษย์
  1. Body ร่างกาย
  2. Mind สติปัญญา(intellectual) และความรู้สึกนึกคิด
  3. Emotion อารมณ์ มีผลต่อมนุษย์มาก
  4. Spirit จิตวิญญาณ
ทั้งสี่ส่วนนี้ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุผลตามต้องการ เช่น
ถ้าร่างกายป่วย ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีเท่าที่ควรนัก

และหลักที่สำคัญที่สุดของวันนี้ก็คือ

"การหลอกตัวเอง"


หลักมีอยู่ว่า

ต้องการให้ชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน ก็ต้องโกหกหรือสร้างความคิดให้ตัวเอง
เพื่อให้ชีวิตเราเป็นแบบที่เราต้องการ

สร้างภาพลวงในตัวเอง เพื่อให้ตนเองปรับเปลี่ยนไปหาภาพลวงนั้น

นอกจากนี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่ได้ทำตามฝันของตัวเองได้สำเร็จมาเล่าให้ฟังอีก
เช่น Columbus ที่เดินทางรอบโลก โดยเดินทางไปทางด้านอเมริกา ที่ไม่เคยมีใครไปมาก่อน

และยังมีเรื่องราวของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ที่สร้างอุปกรณ์ลงจอดให้ยานอวกาศของ NASA
ว่าท่านได้ทำสมาธิ แล้วทำให้ปิ๊ง idea อุปกรณ์ลงจอดที่ work
(บทสัมภาษณ์ กับรายการที่นี่หมอชิต)

ซึ่งการที่ได้เรียนกับพลโทอานันท์ ก็ทำให้มีกำลังใจที่จะทำตามฝันของตนเอง
และได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่มีประโยชน์ซึ่งจะนำไปพัฒนาตนเอง

ปิดท้ายนี้ก็ขอทิ้งท้ายด้วย quote ที่ว่า

"One Step Discarded Is Another Step Forwarded." - Thomas Alva Edison
(หนึ่งก้าวที่ล้มเหลว คือ อีกก้าวหนึ่งสู่ความสำเร็จ)

Friday, June 12, 2009

swensen ทำพิษจริงๆ



จริงๆแล้ว promotion scoop ฟรี scoop ของ swensen ก็มีมานานแล้วแหละ
แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงขนาดนี้มาก่อน

คิดดูละกันว่า
ภายใน 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา
กินไอติมไป 2 ครั้ง ที่ร้าน swensen




วันนี้เป็นครั้งที่ 2 กินไป 8 scoop 5 คน

คนอื่นอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกะเรามาก่อน

ไอติมนี่มันนานๆกินที


แต่ตั้งแต่มีเพื่อนที่มีบัตร swensen และทุกคนก็อยากกินกันด้วย (รวมทั้งเราเองด้วย)
ก็ทำให้ทุกคนกินไอติมกันบ่อยขึ้น




จริงๆ นอกจาก swensen แล้วก็ยังมี dairy queen อีกนะ
กินเยอะไปแล้ว

แต่มันก็อร่อยจริงๆอ่ะ เหอๆ




Wednesday, June 10, 2009

ข้อคิดดีๆจากหนังสือเล่มนึง

เมื่อนานแล้วเหมือนกันไปอ่านหนังสือเล่มนึง
เปิดออกมาแล้วภาพสวยดี
เป็นหนังสือของเกาหลีชื่อว่า Vitamin Story
แต่งโดย พาก ซอง ชอล


ยกมาให้อ่านเรื่องนึงละกัน ที่อ่านแล้วแบบสุดยอด ขนลุกไปเลย
เรื่องก็มีอยู่ว่า

คานธี มหาบุรุษผู้ได้รับการยกย่องนับถือมากที่สุดในอินเดีย
วีรบุรษผู้นำในการเรียกร้องเอกราชของอินเดียโดยสันติวิธี

วันนึง ท่านจะโดยสารรถไฟไปยังต่างเมืองเพื่อแสดงปาฐกถา
ด้วยตารางเวลาที่แน่นมากทำให้ท่านมาถึงสถานีรถไฟในเวลากระชั้นชิด

แต่ด้วยความรีบร้อน ทำให้รองเท้าข้างขวาของท่านจึงไปเกี่ยวกับราวกั้นรถไฟจนหลุดออกจากเท้า
ตกออกไปนอกตู้รถไฟ และรถไฟก็กำลังจะออกจากสถานี

ทันใดนั้น ท่านคานธีถอดรองเท้าข้างซ้าย ขว้างออกไปเต็มแรงทางรองเท้าข้างที่หล่นไปเมื่อสักครู่

ผู้ติดตามแปลกใจกับการกระทำนั้น จึงถามท่านคานธีว่า
"ท่านครับ ทำไมขว้างรองเท้าอีกข้างลงไปด้วยละครับ"

ลองคิดดูนะ ว่าท่านคานธีตอบว่าอะไร
.
.
.
ท่านคานธียิ้มกว้าง และตอบว่า
"ลองคิดดูสิว่า ถ้าคนยากจนเก็บรองเท้าของเราไปข้างเดียว เขาจะเอาไปทำอะไรได้
แต่ถ้าได้ไปสองข้าง คนที่เก็บรองเท้าก็จะนำไปสวมใส่ได้ ถูกไหม"


อ่านแล้ว แบบได้รู้สึกถึงเรื่องราวดีๆที่ทำให้จิตใจพองโต

นอกจากจะมีเรื่องราวให้อ่านแล้ว
ท้ายเรื่องจะมีข้อสรุปที่ได้จากการอ่านเรื่องมาสรุปและเน้นย้ำข้อคิดนั้นอีกครั้ง

Monday, June 8, 2009

นอกกรอบแบบวิชา innovative thinking 1

หลังจากที่ลงทะเบียนเรียนวิชา innovative thinking ได้แล้ว
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ได้ไปนั่งเรียนครั้งแรก
มาแล้ว..วิชาที่ไม่ใช่การเรียนเนื้อหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

และหลังจากที่ไปเรียนก็ได้เห็นมุมมองหลายๆมุมมองของเพื่อนแต่ละคน
จากคำถามต่างๆที่อาจารย์ได้ถามในห้อง

และก็ได้เรียนรู้ว่า
การมองอะไรในมุมมองใหม่ๆ หรือมุมมองที่เราคาดไม่ถึง
ก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆอีกมากมาย
และการรับฟังความคิดของผู้อื่น
ก็ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและพัฒนาความรู้ของเราไปได้อีกมากมาย


และในคาบก็ยังให้ทำอะไรที่หลุดออกจากกรอบความเคยชิน
นั่นคือ การให้วาดรูปอะไรประหลาดๆ ด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด

อยากจะบอกว่า ทรมานอยู่เหมือนกัน อยากเปลี่ยนมือมาก แต่ก็ต้องทำให้ได้ ถึงจะเสร็จช้าหน่อย
ก็ยังดีกว่าไม่ทำ

ในที่สุดก็เสร็จ และที่สำคัญก็คือ ภาพที่วาดเมื่อมองกลับหัว จะเป็นภาพ Leonardo Da Vinci
โอ่ สุดยอด

ก็ทำให้รู้ว่า
บางทีที่เราทำอะไรที่เราเคยชิน กลัวความผิดพลาด
บางทีถ้าเราทำอะไรที่เราไม่เคยชินบ้าง จะทำให้เราถึงขั้นตาสว่างได้ทีเดียว!!!