-- * Story of My Life * --
PouNdPoN (●>ω<●)

Monday, August 31, 2009

งานกีฬาสี เหนื่อยมากๆ แต่ก็คุ้มค่า

งานกีฬาสีที่ผ่านมา หลายๆคนก็คงรู้แล้ว ว่าเราไปทำอะไร
ฮ่าๆ
อยากจะบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา และต่อไปอีกหลายอาทิตย์ข้างหน้า
จะเป็นอาทิตย์ที่ยุ่งมากทีเดียว
แค่อาทิตย์นี้
ก็ต้องซ้อมการแสดงในงานกีฬาสี
และก็ต้องส่ง senior project proposal

แล้วก็ต้องทำ SE ด้วย

เป็นอาทิตย์ที่หนักมาก
แต่ตอนซ้อมการแสดง สนุกมาก
รู้สึกว่า อยากทำอะไรแบบนี้อีก
ดูไม่วิชาการดี ได้ออกกำลังกายอีกด้วย
ได้รู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้น เพื่อนที่เคยแต่ทักแบบยิ้มๆกันเฉยๆ
ก็คุยเล่นกันได้มากขึ้น เฮฮากันมากขึ้นกว่าเดิม

จริงๆ ก็เพิ่งจะรู้ว่า
ทุกกิจกรรมที่ทำ
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ มันก็ให้ประโยชน์กับเราทั้งนั้น
เป็นประสบการณ์ในชีวิต

ต่อไป ก็พยายามที่จะทำอะไรที่ไม่ชอบให้ผ่านไปได้ด้วยดี
ไม่ล้มเลิกซะก่อน



อีกอย่างนึง ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ร่วมกันทำกิจกรรมสนุกๆ
ในงานกีฬาสี แล้วก็ข้างนอกชั้น 19 ตอนเย็น เห็นท้องฟ้าสีสวยมาก
เห็นนกบินอย่างใกล้ชิด ตอนกลางคืนก็สวยมาก
ได้เห็นกรุงเทพอีกมุมมองหนึ่ง



Friday, August 28, 2009

แพร่งความคิด

กลยุทธ์ในการเชื่อมโยงอย่างอิสระ
รู้จักแพร่งความคิด
จากที่เรียนมา คิดว่า น่าจะเป็นการที่เรามีความรู้มากมาย หลายสาขา
จนสามารถรวมมันเข้าด้วยกัน กลายเป็นความคิดใหม่ๆขึ้นมา

เช่น DUNE เป็นนิยายที่่แต่งโดย Frank Herbert(1920-1986)
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ
การเดินทางในอวกาศ ยาเสพติด นิเวศวิทยา
การดำรงชีพในทะเลทราย พันธุวิศวกรรม
ศักยภาพของมนุษย์ ปรัชญา จิตวิทยา การเมือง และศาสนา

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของ Frank
คุณลองคิดดูว่า เมื่อเกือบ 90 ปีก่อน จะมีคนที่คิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ ในอีกหลายๆปีข้างหน้านี้ได้

ซึ่งนิยายเรื่องนี้ก็โด่งดังมาก จนนำมาสร้างเป็นหนังทั้ง series และหนังโรง

เบื้องหลังที่ทำให้ Frank สามารถที่จะสร้างนิยายแบบนี้ได้
ก็เป็นเพราะว่า Frank มีความรู้ในหลายๆด้าน
ที่เค้าเคยได้ทำมาในสาขาอาชีพของเขา

และรวมถึง Mike Oldfield ที่เป็นผู้สร้างเพลง Tubula Bell ที่เป็น
OST ของหนังเรื่อง Exorcist
หรือแม้แต่ Sir Richard Branson ที่เป็นเจ้าของ Virgin
ที่ตั้งสายการบิน Virgin Atlantic ขึ้นมา เนื่องจากเหตุการณ์เล็กๆเพียงนิดเดียว
ที่คนอย่างเรา อาจมองข้าม แต่ Sir Richard ไม่
เขากลับมาคิดหาเหตุ และตัดสินใจที่จะก่อตั้งธุรกิจสายการบินขึ้นมา

สิ่งที่ทุกคนที่กล่าวถึง มีเหมือนกัน คือ ความรู้ในหลายสาขา ที่นำไปสู่ความคิดใหม่ๆ
ความรู้ในหลายสาขานี้ จะก่อให้เกิดความคิดผสมผสาน

และบางทีแหล่งความรู้ที่ดีที่สุดของเรา ก็คือ ธรรมชาตินี่แหละ
เช่น สถาปัตยกรรมอาคาร Eastgate ในซิมบับเว
ที่เลียนแบบจอมปลวก ทำให้ไม่ต้องใช้แอร์
และอาคารนี้ก็ทำให้คนออกแบบได้รับรางวัลงานออกแบบอาคารยอดเยี่ยมด้วย

การที่เราจะมีความรู้ในหลายสาขา หรือทลายกรอบความเคยชิน
หรือทำลายสิ่งกีดขวางความคิดสร้างสรรรค์ของเราได้
เราต้องทำดังนี้
พูดคุยกับคนนอกศาสตร์ จะทำให้เราได้รับมุมมองที่แตกต่างออกไป
ทำกิจกรรมที่ไม่เคย
การกระตุ้นอย่างสุ่ม ซึ่งจะพูดถึงต่อไป
และการอุปมาอุปไมย

การอุปมาอุปไมย
คือการเปรียบเทียบของสิ่ง 2 สิ่ง
เช่น การสมัครงานกับการใช้บริการ BTS ซึ่งได้ดังนี้
มาก่อนได้ก่อน
มีคำแนะนำ แต่ต้องทำเอง
เส้นทาง fixed ถ้าจะไปทางอื่น ก็ต้องเดินไปเอง ขวนขวายเอง
มีจุดหมายปลายทาง แต่สามารถขยายต่อเพิ่มได้
คุณก็ลองคิดดูเอาเพิ่มเองอีกละกัน ว่า 2 สิ่งนี้มีอะไรที่เหมือนกันอีก



Sunday, August 23, 2009

ฝนหนอ ฝน

วันก่อนกลับเย็นมาก ถึงบ้านประมาณทุ่มครึ่ง
ก็เห็นฟ้าแลบมาแล้วแหละ
แล้วตอนข้ามถนน ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
ก็คือ
อยู่ดีๆ ไฟข้างถนนก็ดับพรึ่บ
เฮ้ย ทำไงหละ เกิดอะไรขึ้น

จริงๆ ก็ไม่มีอะไร เพราะว่า
ฟ้าแลบทำให้เกิดไฟสว่าง
จน censor รับความสว่างของไฟข้างถนน
นึกว่าสว่าง ไฟก็เลยดับ

คิดได้ ก็เดินต่อ เข้าซอย
เดินไปไม่กี่ก้าว ฝนก็เริ่มตก
และในที่สุด
ก็ ครืน โครม
อย่างกับเทน้ำลงมา
เอาร่มมาก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องหาที่หลบ
เพราะถือของที่เปียกไม่ได้ด้วยสิ

ทำไงดี
ก็เจอที่หลบ ก็ไปหลบ
แต่ไม่เลย
ลมพัดแรงอีก ฝนก็มาโดน
เปียกตั้งแต่เท้าขึ้นมา จนถึงประมาณต้นขาแล้ว
ทำไงดี
ก็เริ่มโทรหาที่บ้าน ให้เอาร่มใหญ่มารับ
แต่เดี๋ยวฝนก็คงเริ่มซาแล้วมั้ง

คิดอยู่ประมาณ 10 นาที
มันไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย
ก็ิเลย โทรเลยแล้วกัน

ตอนนั้นก็เปียกเยอะแล้ว
ก็รอให้คนที่บ้านมารับพร้อมร่มคันใหญ่

ในที่สุดก็มา เดินเข้าซอย น้ำก็ท่วม เบื่อมากๆ
สุดท้ายก็ถึงบ้านโดยที่ตัวเปียกไปกว่าครึ่ง

โชคร้ายจริงๆ

Saturday, August 22, 2009

การหา idea ใหม่ (continued)

หลังจาก 2 อาทิตย์ก่อนหน้า ก็เป็นเรื่องการหา idea ใหม่ด้วยวิธีต่างๆ เช่น
การย้อนกลับสมมติฐาน

แต่ในอาทิตย์นี้
เริ่มที่กลยุทธ์การเชื่อมโยงอย่างอิสระ
คำหลัก - แพร่งความคิด
ซึ่งได้กล่าวถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านความคิดแปลกใหม่ เช่น
Frank Herbert ผู้แต่งเรื่อง DUNE
Sir Richard Branson เจ้าของ Virgin
Mike Oldfield เจ้าของเพลงจาก Tubular Bells
Deepak Chopra เจ้าของวิธีการทางแพทย์รักษาอาการเจ็บป่วยด้วยตนเอง

ซึ่งมีความรู้หลายสาขา จึงทำให้นำไปสู่ความคิดใหม่ๆ
ซึ่งความคิดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ
แบบเฉพาะทาง พูดง่ายๆคือ เหมือนศาสตร์ที่ได้รำเรียนมา เป็นแนวเดียว
และแบบผสมผสาน คือการนำความรู้ที่มีอยู่ มาประยุกต์เกิดเป็นสิ่งใหม่ๆ

สิ่งที่เกิดจากความคิดผสมผสาน นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี
Eastgate Building ในซิมบับเว ที่เลียนแบบจอมปลวก
เนื่องจากเป็นอาคารที่ไม่ติดแอร์
Magic:The Gathering หรือ Magic Card
ที่สร้างโดยนักคณิตศาสตร์ Richard Garfield
ซึ่งเราจะต้องผจญภัยกับแพร่งความคิดต่างๆ
ก่อนที่ความคิดจะตกตะกอน เกิดเป็นความคิดที่ดี

ต่อจากนั้นก็เป็นการสร้างแพร่งความคิด
ซึ่งกล่าวถึงการขจัดสิ่งกีดขวางการเชื่อมโยง ดังนี้
  1. พูดคุยกับคนนอกศาสตร์
  2. ทำกิจกรรมที่ไม่เคย
  3. อุปมาอุปไมย
  4. กระตุ้นอย่างสุ่ม
การอุปมาอุปไมย เช่น เรื่องการสมัครงานกับการใช้บริการ BTS
มีอะไรที่เหมือนกัน
มาก่อนได้ก่อน
มีขั้นตอน คำแนะนำบอก แต่ถ้าจะทำต้องทำเอง
เส้นทาง fix แต่ถ้าจะไปทางอื่น ก็ต้องหาเอง
มีจุดหมายปลายทาง แต่สามารถขยายต่อเพิ่มได้

และยังมีตัวอย่างสถาปัตยกรรมอีกอย่างที่บ่งบอกถึงแนวความคิดใหม่
คือ Gateshead Millenium Bridge ในประเทศอังกฤษ
ที่ออกแบบโดยเลียนแบบจากเปลือกตา

นอกจากนี้ก่อนพัก อาจารย์ก็ได้สอนท่าโยน juggling ท่าใหม่
over the top
ฮ่าๆ ท่าเดิมยังทำไม่ได้เลย

Monday, August 17, 2009

อากาศหนอ อากาศ

ช่วงที่ผ่านมา มีใครสังเกตบ้างว่า
อากาศทำไมมันร้อนแบบนี้

ฝนก็ตกนะตอนกลางคืน
แต่ตอนกลางวันนี่แบบ ร้อนมาก
ลมก็ไม่ค่อยมี
เดินออกไปตอนบ่ายๆ ถ้าไม่เดินในร่ม
ก็อาจจะสุกได้เลยทีเดียว

เพราะฉนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือ
การทาครีมกันแดด ก่อนออกจากบ้าน
หาที่อยู่ที่เย็นๆ

และที่สำคัญมากๆ ก็คือ ช่วยกันลดการใช้ทรัพยากรต่างๆที่ทำร้ายโลกของเรา
และร่วมกันปลูกต้นไม้

ช่วยกันลดโลกร้อน

Stop Global Warming

Saturday, August 15, 2009

innovative thinking และวิทยากร 2 คน

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม คาบเรียน innovative thinking
ได้มีวิทยากรถึง 2 คนในคาบเรียนเดียว
คนแรกคือคุณศณพงษ์ ธงไชย เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรนักประดิษฐ์ไทย
ได้มาพูดถึงเรื่อง นวัตกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องอวกาศ และนวัตกรรมสังคม
เรื่องอวกาศ ได้พูดถึงเรื่องการแข่งขัน
ที่ถ้าหากใครทำยานที่บินขึ้นเหนือพื้นโลกมากกว่า 100 km และมีนักบิน 1 คนได้
ก็จะได้รางวัล 100 ล้าน ไม่แน่ใจหน่วยเงิน
การแข่งขันนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว ซึ่งก็มีคนทำได้
เป็นคนเยอรมัน ยานชื่อ Virgin Galactic

ต่อจากนั้น ก็ยังมีการประกวด แต่เป็นให้มีคนอยู่ในยานได้ 3 คน
ก็ยังคงประกวดกันอยู่

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องต่างๆ เช่น
0 Kelvin (-273.15 celcius) จะทำให้โมเลกุลหยุดนิ่ง
กล้อง Hubble ดูไปได้ไกล 20 พันล้านปีแสง
แม่เหล็กขั้วเหนือและขั้วใต้ ดึงดูดด้วยแรงที่ไม่เท่ากัน

ยานบินใช้แม่เหล็ก ใช้พลังงาน 8 GKW
คนคุมด้วยนิ้ว หยุดโดยใช้พลังงานแม่เหล็กต้าน
การหลบหลีกวัตถุ ให้ใช้แม่เหล็กขั้วลบ
การหลบหลีกหลุมดำ ให้ใช้ speed เร็วกว่าแสง

ต่อมาเป็นเรื่องนวัตกรรมสังคม
มีหลักดังนี้
  1. ทำยากให้ง่าย
  2. เปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์
  3. ยกระดับศึล จริยธรรม
  4. ทดแทนการนำเข้า
  5. ภาคการผลิตจริง
นอกจากนี้คุณศณพงษ์ ก็ยังให้กินลำไยที่เขาทำเอง
เป็นการนำลำไยไปอบที่ความร้อน 40 องศา
เป็นลำไยที่มีน้ำเกลืออยู่ข้างในเนื้อของมัน
กินแล้วจะได้ไม่ร้อนใน
และยังให้กินเม็ดมะรุม ที่มันฉุนๆ ติดลิ้น

พอจบการบรรยายของคุณศณพงษ์ ก็เป็นช่วงพัก
ก็ได้กินขนมไทยกัน ซึ่งคุณพลศักดิ์ ปิยะทัต วิทยากรคนที่สองซื้อมาให้กินกัน
(ขอบคุณมากค่ะ ขนมอร่อยมาก)

คุณพลศักดิ์ เป็นผู้สร้างเครื่องฟอกอากาศ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท alpine
ซึ่งขายเครื่องฟอกอากาศดังกล่าว ซึ่งเครื่องฟอกอากาศนี้ได้ไปชนะระดับโลกมาด้วย
มาวันนี้ คุณพลศักดิ์ ก็ได้พูดถึงเรื่อง Innovation to Commercial

การสร้างนวัตกรรมต้องคำนึงถึง
technology , พาณิชย์ , การยอมรับของผู้ซื้อ , สิ่งแวดล้อม

ปัญหาและอุปสรรคของนักประดิษฐ์ไทย
  1. บุญหรือกรรม ที่เกิดมาเป็นคนไทย เนื่องจากพอพูดว่าเป็นคนไทย คนต่างชาติก็ไม่ค่อยยอมรับ
  2. มักชอบดูแคลนคนไทยด้วยกัน
  3. มีแต่ความอคติ
  4. รัฐไม่สนับสนุน
  5. ชอบบอกว่าของไทย ไม่มีมาตรฐาน
  6. ระบบการศึกษาไทย มีแต่สอนให้เป็นลูกจ้าง
  7. ต้นทุนสังคมต่ำ
ซึ่งพอได้ฟังเรื่องดังกล่าว ก็คิดๆดู ก็เห็นจะเป็นความจริง

ต่อมาก็ได้พูดถึงองค์ประกอบที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีดังนี้
  1. รูปแบบผลิตภัณฑ์
  2. เทคโนโลยี
  3. การยอมรับของผู้ใช้
  4. ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
  5. การวางแผนในเชิงการตลาด
  6. ต้นทุนการจัดการต่ำ
  7. ลอกเลียนแบบ
  8. ฉ้อโกง
  9. การใช้อำนาจ
  10. ความเป็นอัจฉริยะ
และในครั้งนี้ก็ได้รับรู้ความจริงอีกอย่างว่า
ในจำนวนธุรกิจใหม่ขนาดเล็กทั้งหมด
มากกว่า 50% จะล้มภายใน 1 ปี
และ 95% จะล้มภายใน 5 ปี

นอกจากเรื่อง innovation to commercial แล้ว
ก็ยังคุยเรื่องการปั่น google อีกด้วย



แต่คาบเรียนนี้ เรียนไม่ค่อยมีประเด็นเท่าไหร่
เนื้อเรื่องกระจัดกระจาย

Wednesday, August 12, 2009

REC CAMP กับการเดินป่าสุดโหด

วิชาเลือกวิชานี้ต้องมีการไปค่าย
และคราวก่อนๆก็ได้ลงเรื่องการสอบการกางเต๊นท์ไปแล้ว

เมื่อวันที่ 8-10 สิงหาคม ก็ต้องไปค่ายของจริง
ก็เตรียมของไป คราวนี้เตรียมของไปน้อยกว่าไปเที่ยวปกติ
แล้วกระเป๋าก็เล็กทีเดียว
เอาแต่ที่จำเป็นไป

ก็ออกเดินทางจากกรุงเทพ ตอนประมาณ 8.30 am
จุดหมายปลายทางอยู่ที่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ประจวบฯ
เดินทางนานมาก เพราะแวะปั๊มบ่อยมาก

และด่านความทรมานด่านแรก ก็คือ
การกินข้าวในรถ ไม่แอร์
ก็คิดดูว่า กินข้าว ในรถที่ลมพัดแรงมาก และโยกไปมา
ต้องเกร็งกันสุดชีวิต กลัวข้าวหกเลอะ
แต่ก็ผ่านไปได้

เมื่อไปถึงอุทยาน
ก็ต้องกางเต๊นท์
ต้องเลือกทำเลเอง ก็เลือกๆกัน
ทำเลที่เลือกอยู่ติดห้องน้ำที่สุด
และตอนแรกไม่มีใครอยู่ใกล้เลย แต่ตอนหลังก็เริ่มมีมาอยู่ติดๆกัน
ก็กางเต๊นท์ไปไม่ยากเย็น
เต๊นท์ใหญ่มาก และดีมาก ต้องขอบคุณ บีมด้วยสำหรับเต๊นท์

หลังจากกางเต๊นท์เสร็จ อาจารย์ก็เรียกรวมกัน
ทุกกลุ่มต้องทำอาหารกินเอง
แต่อาจารย์ลืมเอาหม้อสนามมา (ถือเป็นโชคดีนะนั่น)
ก็เลยให้ใช้หม้อ กับกระทะ
โดยต้องทำเมนูผัดพริกแกงถั่ว กับต้มยำกุ้ง

ตอนทำ ตื่นเต้นมาก
และที่เด็ดสุดๆ ก็คือ
ตอนทำต้มยำกุ้ง
ไฟมันเริ่มมอดแล้ว ตอนจะเริ่มทำ ก็ใส่ถ่านเพิ่ม
แล้วก็มีเทถ่านในถุงลงไป แต่ปรากฏว่าในถุงมีไฟแช๊คอยู่
อ่าว ทำไงอ่ะทีนี้ ดุ่ยก็พยายามเขี่ยออก แต่ไม่สำเร็จ
ปรากฏหลังจากไฟแช๊คตกลงไปได้ไม่นานนัก
ก็เกิดไฟลุกพรึ่บขึ้นมา ฮ่าๆๆ
แต่ไม่ได้ไหม้อะไร แล้วไฟก็เผาไหม้ปกติไป

ต่อจากนั้นก็ทำต้มยำกุ้งปกติ แต่ตอนปรุงนี่สิ
มันไม่อร่อยซะที
ก็ปรุงๆกัน ใส่มะนาวเทียมไปประมาณ ครึ่งขวด น้ำปลาประมาณเยอะอยู่
นอกจากนี้ก็ยังมี นมตราหมีไวท์มอลต์ด้วย (ทำให้เป็นน้ำข้น)

แต่ในที่สุดก็ทำเสร็จทั้งสองอย่าง

พอทำอาหารเสร็จ ก็เอามาตั้งที่โต๊ะ แล้วก็ต้องตักแบ่งไปให้อาจารย์กินทุกกลุ่ม เพื่อประกวดกัน

แล้วที่อยากจะบอกก็คือ
ต้มยำกุ้งของกลุ่มเรา ชนะที่ 1 อ่ะ
ไม่อยากจะเชื่อ โวยวาย วี้ดวิ้วกันอยู่สักพัก

หลังจากนั้นก็สอนการดูดาว
แต่เนื่องจากฝนตก มีเมฆมาก ฟ้าปิด ดูไม่ได้ ก็สอนๆ ไป แต่ไม่ได้ดู
หลังจากนั้นก็ให้เข้านอน
ต้องแย่งห้องน้ำกันสุดๆ (แต่วางแผนไว้แล้ว ว่าต้องกลับเต๊นท์เร็วๆ แล้วไปห้องน้ำคนแรก)
หลังจากนั้นก็เข้านอน
เข้านอนเร็วมาก เนื่องจากไม่ได้เอาอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงอะไรไปเลย เซงสุดๆ

วันที่สอง ฮ่าๆ วันนี้แหละ เดินป่า
ก็ตื่นมา กินข้าว (ไม่ต้องทำเองและ) เคารพธงชาติ สวดมนต์
แล้วตอน 9 โมงเช้าก็ออกเดินทางเพื่อเดินป่าได้
ชุดที่ใส่นี่เตรียมเดินป่าสุดๆ เพราะฉนั้น
ไม่ต้องมาถามถึงรูป เพราะไม่ค่อยมี ไม่อยากถ่ายสภาพตัวเองตอนนั้น
เดินๆไปก็ต้องลุยน้ำ ลงน้ำประมาณครึ่งตัวได้
รองเท้า กางเกงเน่ามาก เสื้อก็ด้วย
เพราะขึ้นจากน้ำ ก็เดินป่า ก็เป็นโคลน
ฝนก็ตกทั้งวัน มาที่นี่เดินตากฝนเป็นเรื่องธรรมดา

การเดินป่าเนี่ย
หลักๆที่เจอก็มีสองอย่าง
ลุยน้ำ สนุกดี น้ำเย็นดี
กับเดินบนพื้นป่า ดินเป็นโคลน ยวบๆ เดินก็มีโคลนกระเด็นๆ
ฝนก็ตก

และที่สำคัญคือ ตอนกินข้าวนี่แหละ ฝนก็ตกลงมา
ก็ใส่เสื้อกันฝน แล้วก็นั่งกินข้าว
ข้าวก็เป็นข้าวสวยกับหมู หมูแข็งมาก เค็มด้วย แล้วฝนก็ตกลงบนข้าว
แต่ก็ต้องกิน เหอๆ

กลับออกมาจากป่านี่สภาพแบบเน่าสุดๆ
ก็ต้องรีบอาบน้ำ แต่ก็มีคนมากมาย
แต่บังเอิญเจอห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ก็ได้อาบก่อนอีกแล้ว (โชคดีจริงๆ)

หลังจากนั้น ก็นอนเล่น
จนถึงประมาณ 5 โมงเย็น
ก็กินข้าว
และทุกกลุ่มก็ต้องแสดงละครเรื่อง ฟ้าจรดทราย
ไม่อยากจะพูดถึงมัน เพราะเน่ามาก

แต่ชอบละครของกลุ่มศิลปกรรมมาก ทุ่มเทสุดๆ

ต่อจากนั้นก็เข้านอน ฝนก็ตกลงมาอีก หนักบ้างบางที แต่ส่วนใหญ่จะตกเบาๆ
ประมาณว่า ตลอดค่ายเนี่ย ฝนตกเกือบตลอด ตกประมาณครั้งละ 5 นาที ตกถี่มาก

เพราะฉนั้น ต้องขอบคุณบีมอีกครั้งสำหรับเต๊นท์ดีๆของบีม

แล้ววันที่ 3 วันสุดท้าย ก็ตื่นสายตื่นมาก็เกือบ 8 โมง แล้วต้องไปเคารพธงชาติด้วย
ก็ต้องรีบ ล้างหน้า แปรงฟัน
แล้วก็วิ่งไปเคารพธงชาติ
ต่อจากนั้น ก็กินข้าว เช้า
แล้วก็ต้องรีบไปอาบน้ำ เก็บของ เก็บเต๊นท์ เตรียมกลับ
ถ่ายรูปร่วมกัน

และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับ
ตอนกลับก็ยังลำบากอีก เพราะว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับ พอออกมา ฝนก็ตกหนัก
ก็ต้องวิ่งฝ่าฝนไปที่รถ
ตัวเปียกไปหมด

รถก็ออกเดินทาง แวะร้านขายของฝาก ก็ซื้ออะไรเล็กน้อย
กินข้าว และก็ถึงกรุงเทพฯ

ค่ายนี้ก็เป็นค่ายที่แบบเน่าสุดๆ แล้ว
อาจจะรองจากค่ายเนตรนารีตอนเด็กๆ
แต่ก็สมบุกสมบันทีเดียว แล้วก็ธรรมชาติสุดๆ
อีกอย่าง ไปอยู่ที่นั่น ก็เดินตากฝนเป็นเรื่องธรรมดามาก
แต่ก็ไม่รู้ว่า ทำไมเวลาอยู่กรุงเทพ เวลาฝนตกถึงต้องหลบ

อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปก็ได้



การย้อนกลับสมมติฐานเพื่อหา idea ใหม่


วันศุกร์ที่ผ่านมา
อาจารย์มาสอนช้า ก็ต้องโยนjuggling กันไปพลางๆ
เพื่อรออาจารย์มาสอน

เมื่ออาจารย์มาสอน ก็เป็นการสอนต่อจากคราวที่แล้ว
การหาไอเดียใหม่
อาทิตย์นี้เป็นการหาไอเดียใหม่จาก การย้อนกลับสมมติฐาน

ก็ยกตัวอย่างเลยแล้วกัน เพื่อความเข้าใจ
เช่น ร้านอาหาร
สมมติฐานทั่วไปของลักษณะของร้านอาหารก็มีดังนี้
มีเมนู
มีพนักงานเสิร์ฟ
มีโตีะเก้าอี้ให้นั่งกิน
บริการอาหาร

เราก็ย้อนกลับเป็น
ไม่มีเมนู -> มีวัตถุดิบวางหน้าร้าน ให้เลือกแล้วให้ลูกค้าสั่งว่าจะให้ทำอะไร
ไม่มีพนักงานเสิร์ฟ -> เป็นร้านอาหารบริการตนเอง
ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกิน -> เป็นร้านอาหารเดินกิน อาจจะขาย cocktail พอดีคำ
บริการอาหาร -> อาจจะบริการอย่างอื่นด้วย เช่น ร้านหนังสือ ร้านกาแฟ

วิธีการนี้ก็ทำให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ ได้เหมือนกัน

แต่บางทีการที่เราเคยชินกับอะไรบางอย่างแล้ว
เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนแปลง บางครั้งการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ทำได้ยาก
อย่างเช่น keyboard แบบ QWERTY

คุณเคยคิดไหมว่า ทำไม keyboard ต้องเป็นแบบ QWERTY
บางคนอาจจะตอบว่า เพราะว่าเป็นแบบที่พิมพ์ง่าย
ตัวอักษรที่ใช้บ่อยอยู่ใกล้

แต่ลองสังเกตดูอีกทีสิ
คุณจะพบว่า อักษรที่ใช้บ่อยๆ จะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก เช่น
ตัว A อยู่ที่นิ้วก้อยซ้าย
และตัวที่อยู่กลางๆ พิมพ์ง่ายๆ จะไม่ใช่ตัวอักษรที่ใช้บ่อย

ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่า keyboard นี้คิดค้นขึ้นมา เพื่อให้พิมพ์ได้ช้า
เนื่องจาก keyboard นี้ใช้มาตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นเครื่องพิมพ์ดีด
ถ้าพิมพ์เร็วเกินไป จะทำให้แป้นพิมพ์มันติด
เคยลองพิมพ์เร็วๆด้วยเครื่องพิมพ์ดีดแล้ว ก็ติดจริงๆ

แต่ปัจจุบัน เราใช้คอมพิวเตอร์กัน มันคงไม่มีการที่แป้นพิมพ์ติดแล้ว
แต่ทำไมไม่มีใครเปลี่ยนแป้นพิมพ์หละ
ที่จริง เคยมีคนคิดค้น keyboard แบบใหม่แล้ว
แต่คนก็ไม่นิยมใช้กัน เนื่องจากชินกับแบบ QWERTY แล้ว

เพราะฉนั้น คนเราก็ไม่ได้ต้องการเพียงแต่ idea ใหม่แล้วจะ work
ก็ต้องดูปัจจัยอย่างอื่นด้วย

นอกจากการเรียนแล้ว อาทิตย์นี้ก็ยังได้รับผลการประเมิน
คุณลักษณะเด่นของตัวเอง
ก็ขอเก็บไว้ ไม่เขียนใน blog ละกัน

ที่สำคัญ อาทิตย์นี้อาจารย์ได้ให้การบ้านสองอย่าง คือ
ให้คิด project งานเดี่ยว 1 อย่าง
งานกลุ่ม 3 คน 1 อย่าง
ที่สร้างสรรค์

โอ่ว จะทำอะไรดีเนี่ย

Friday, August 7, 2009

การตั้ง tent กับ การจะไปเดินป่า


วันพุธ ตอนเย็นก็มีเรียนวิชา rec camp
แต่วันนี้แตกต่างออกไป เพราะว่าต้องไปกางเต้นท์ให้อาจารย์ดู
ว่ากางเป็นหรือเปล่า

ก็หาเต้นท์ได้แล้วจากเพื่อนคนนึง
ก็แบกไป กางที่สนามที่วิทย์กีฬา
ตอนแรก นึกว่าแปบเดียวจะเสร็จ
ก็กางชิวๆ ไป

กว่าจะเสร็จจริงจัง
ก็นานมาก แล้วก็เหงื่อท่วมสุดๆ

เต้นท์ก็ใหญ่มากทีเดียว
ประมาณว่าเข้าไปอยู่แล้วกระโดดตบได้เลยทีเดียว
เต้นท์ดีมากๆ

ก็ึคงจะงงว่าทำไมต้องกางเต้นท์ให้อาจารย์ตรวจด้วย
เพราะว่าเสาร์ อาทิตย์ จันทร์นี้ต้องไป

"เดินป่า"

จริงๆแล้วเคยเดินป่าแล้วครั้งนึงที่เขาใหญ่
เดินกับเพื่อน แบบมีไกด์ของอุทยานพาไป

แต่คราวนี้ ความรู้สึกมันช่างแตกต่าง
เพราะอาจารย์บอกว่าให้เตรียมของอะไรไปแบบว่า
เดินลุยป่าจริงจัง
เอาภาพมาให้ดู ก็แบบ
โอ่ นี่มันเดินป่าจริงจังจริงๆนะเนี่ย
เพราะว่ารูปที่อาจารย์เอามาให้ดูเนี่ย
แต่งชุดเดินป่า แบบในสารคดีเลย

แล้วอาจารย์ก็ยังเล่าว่า
มีรุ่นนึงไปกับอาจารย์ แล้วหุงข้าว
ตักน้ำมาหุงข้าว
ก็หุงๆไป พอสุก ก็มาดู
ก็ตกใจ เพราะว่ามีแมลงอยู่ในนั้นตัวเบ้อเริ่ม

พูดงี้ก็หมายความว่า ต้องไปเดินป่าจริงจังสินะ

น่ากลัวอ่ะ เราจะต้องไปเจอกับเห็บ และก็ทากด้วยสินะ
ถึงให้เตรียมถุงกันทากไปด้วย

ฮือๆ
วันจันทร์ตอนกลับมา สภาพจะเป็นไงก็ไม่รู้
คงเน่าน่าดูเลยเรา

เหอๆ


๛ PouNdPoN (●>ω<●) ๛

Sunday, August 2, 2009

Wanted - What if there are people who can shot the curve-path bullet



หลังจากที่เรียนเรื่อง what if ใน innovative thinking ไป
เรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างนึงของความคิดสร้างสรรค์หรือ idea

จะเป็นอย่างไร ถ้ามีคนที่มีความสามารถในการเป็นนักฆ่าสูงมากกว่าคนทั่วไปมาก
และยังยิงกระสุนให้โค้งได้ด้วย

สุดยอด แค่แนวคิดของเรื่องก็บ้ามากแล้ว

นอกจากนี้เนื้อเรื่องของเรื่องก็หักมุมตอนท้ายด้วย
ก็ไม่อยากเล่าว่าเรื่องเป็นยังไงอ่ะนะ
ต้องไปดูกันเอาเอง

แต่บางคนที่ดูแล้วบอกว่า
เนื้อเรื่องแย่มาก
ก็จริงอยู่
อาจจะดำเนินเรื่องไม่ดีบ้างบางที่
เว่อร์เกินจริงบ้างบางจุด
แล้วตัวนักแสดงนำ ก็ไม่ได้เด่นอะไรมาก ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรมาก

แต่แนวคิด ของเรื่องก็โอเคทีเดียว
ถ้าทำเรื่องให้ดีกว่านี้ แล้วก็ screenplay ให้ดีกว่านี้ก็โอเคเลย
แล้วอีกอย่าง ชอบ Angelina Jolie มาก ฮ่าๆๆ