-- * Story of My Life * --
PouNdPoN (●>ω<●)

Friday, July 31, 2009

From Juggling to Sweat and Ache


วันนี้ก็ไปเรียนคาบ innovative thinking ตามปกติ
เพียงแต่ย้ายห้องเรียนไปห้องที่ใหญ่กว่า พื้นที่กว้างกว่า

และเป็นที่รู้กันของทุกคนว่า วันนี้จะเป็นวันที่ได้เรียนการโยน juggling

พอเดินเข้าไปในห้อง (อาจารย์ยังไม่มา) ก็ต้องตกใจ เพราะทำไมทุกคนฟิตอย่างนี้
เกือบทุกคนที่อยู่ในห้องเอา juggling ของตัวเองมาโยนฝึก บางคนก็โยนได้แล้ว

แต่ที่อึ้งกว่าคือ วันนี้ทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วย และก็มีกล้องมากมายมาถ่ายด้วย

และในที่สุด อาจารย์ก็มาถึงในห้อง และก็บอกว่าวันนี้มี surprise
คือ มีการถ่ายวีดีโอและรูปถ่ายจาก TCDC เพื่อนำไปเผยแพร่ในโครงการหนึ่งของ TCDC

และแล้ว class ก็เริ่มขึ้น


เริ่มจากการโยนลูกเดียวก่อน โดยจินตนาการว่ามีกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ข้างหน้า
และต้องโยนไปมุมบนของอีกด้าน หรือพูดง่ายๆคือ โยนเป็นเส้นทแยงมุม

เมื่อโยนจนได้แล้ว ต่อมาก็จะเป็นการโยน 2 ลูก
อันนี้ก็เริ่มที่จะยากขึ้น
การโยน 2 ลูกจะเริ่มจาก ฝั่งA โยน และประมาณว่าเมื่อลูกอยู่ที่จุดสูงสุดของการโยน ให้โยนอีกลูกจากฝั่ง B
และให้รับลูกที่ฝั่ง B (ลูกที่ฝั่ง A โยนมา) ก่อน แล้วจึงรับลูกที่ฝั่ง A (ลูกที่ฝั่ง B โยนมา)
หรือจะกำหนดจังหวะการโยนด้วยการพูด 1 2 1 2 ซึ่งการนับเลขนี้ work มาก ลองทำดู

แล้ว step ต่อมาก็คือ การโยน 3 ลูก อันนี้ยากอยู่ แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆก็ได้แน่นอน
การโยน 3 ลูกจะเหมือนกับการโยน 2 ลูก แต่จังหวะจะเร็วขึ้น



ทั้งหมดที่พูดมาฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไร (หรอ?)
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้คาบเรียนนี้ก็คือ

"เหงื่อท่วม"

ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีเหงื่อเยอะ จริงๆในห้องก็เปิดแอร์เย็น
แต่ที่เหงื่อท่วมนี่ก็เป็นเพราะการเก็บลูกที่หล่น และยิ่งเพิ่งฝึก
เมื่อพูดถึงการฝึก ก็ต้องพูดถึงการผิดพลาด
และถ้าพูดถึงการผิดพลาดของการเล่น juggling ก็คือ ลูกตกลงพื้น
และสิ่งที่ตามมา ก่อนจะเล่น juggling ครั้งต่อไปก็คือ เราต้องไปเก็บลูกขึ้นมา
ต้องย่อตัวหรือก้มไปเก็บลูกขึ้นมา

ก็คิดดูสภาพแล้วกัน เหนื่อยมาก
จริงๆแล้ว ตอนเก็บลูกในคาบเรียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก
อาจจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อยังไม่แสดงอาการ
แต่ พอวันรุ่งขึ้น (วันเสาร์) โอ๊ย ไม่อยากจะพูด ปวดขาสุดๆ
อย่างกับไปลุกนั่งมาประมาณ 50-100 รอบ อย่างนั้นเลย

คาบเรียนนี้นอกจากจะเรียนการโยน juggling แล้ว
อาจารย์ก็ได้สอนต่อจากชั่วโมงก่อนหน้า
ต่อจาก innovative thinking ครั้งก่อน

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้คำตรงข้าม เพื่อทำให้เกิด idea
เช่น การคิดว่าทำอย่างไรจะให้บริษัทหนึ่งรับเราเข้าทำงาน
ก็คิดในแบบตรงข้าม ก็คือให้คิดว่า
ถ้าเราทำตัวแบบใด แล้วบริษัทนั้นจะไม่รับเข้าทำงานแน่ๆ
เราก็ห้ามทำแบบนั้นโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้คำว่า what if ...
เพื่อให้เกิด idea และความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
นั่นคือ ให้คิดว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า ... เช่น

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า Doraemon มีจริง และมีบ้านละ 1 ตัว
ประมาณว่า พอสร้างบ้านมีประปา มีไฟฟ้า พร้อม Doraemon 1 ตัว

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าในโลกมีแต่ 2 มิติ
ประมาณแบบ เกมmario อะไรอย่างนั้น ที่ทุกคนเดินได้แค่ระนาบเดียว

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกคนหน้าตาเหมือนกัน
คงตลกน่าดู ทุกคนหน้าเหมือนกันหมด

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าจริงๆแล้วโลกที่เราอยู่เป็นเพียงโลกที่สร้างขึ้น
ในห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์มนุษย์ต่างดาว
ซึ่งมนุษย์ต่างดาวกำลังศึกษาความเป็นไปของเราอยู่
อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง คงอึ้งน่าดู

และสุดท้าย จะเกิดอะไรขึ้น ถ้างานเลี้ยงไม่มีวันเลิกรา

นอกจากนี้ก็ยังให้คิดเรื่องที่จะทำให้บริษัทหนึ่งๆล้มลง เจ๊งนั่นเอง
และได้ทำเรื่องของ UBC
สิ่งที่จะทำให้ UBC เจ๊งก็คือ

คนเบื่อ AF และโฆษณา AF ต่างๆ เช่น เพลง บลาๆๆ
ของที่มีฉายมีให้โหลดทั้งหมด
internet เร็วมา มีการถ่ายทอดสดให้ดูทาง internet เป็นแบบ full HD ด้วย
คนไม่ต้องการดู TV แล้ว
มีบริษัทขายเครื่อง Tune สัญญาณถูกกว่า (อ่ะนะ)
กทช.ออกกฎหมายให้เปิด free tv หลายๆช่อง มีรายการน่าสนใจมากมาย
มีบริษัทคู่แข่งที่ดีกว่า

มีพายุหมุน ดูดจาน UBC ไป
สุดท้าย
ทุกคนมีแต่ความรัก ความรักทำให้ตาบอด ก็เลยไม่ต้องดู TV แล้ว

ต่อจากการเรียนก็เหลือเวลานิดหน่อย TCDC ก็โฆษณาโครงการของเขา
VTR งดงามมากค่ะ
แล้วแนวคิดก็ดีมากๆ ถ้าใครว่างก็ไปดูกิจกรรมของเขากันได้ที่ Emporium

หลังจากการโฆษณา ก็ฝึก juggling ต่อ
เฮ้อ ! เหนื่อยเก็บลูกจริงๆ (อ่ะนะ)

๛ PouNdPoN (●>ω<●) ๛

No comments:

Post a Comment